โรงงานที่นอน

วิธีการเลือกที่นอนให้เหมาะกับตัวคุณ

 

การนอนหลับสนิทตลอดคืนเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากสัมผัส แต่รู้หรือไม่การนอนหลับให้สนิทเกี่ยวข้องกับที่นอนของเราอีกด้วย ที่นอนที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร แล้วที่นอนมีกี่แบบกี่ประเภท วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกันค่ะ

 

เลือกที่นอนแบบไหนดี ที่เหมาะกับคุณ อีกสิ่งที่สำคัญคือประเภทของที่นอน ซึ่งที่นอนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้มี 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ที่นอนยางพารา ที่นอนสปริง ที่นอนฟองน้ำ และที่นอนใยมะพร้าว ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติ รวมไปถึงข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป

 

1. ที่นอนยางพารา

ในบรรดาที่นอนทุกชนิดที่นอนยางพารานั้นมีราคาสูงที่สุด แต่ก็มีความคงทน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานสูงสุดถึง 20 ปี ที่นอนยางพารา โดยเฉพาะที่เป็นยางพาราแท้ 100% นั้นจะค่อนข้างหนัก แต่ผู้ใช้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกที่นอนเพื่อพลิกสลับด้าน หรือเคลื่อนย้ายที่นอนออกไปตากแดดแต่อย่างใด เนื่องจากคุณสมบัติหนึ่งของที่นอนยางพาราคือการไม่กักเก็บความชื้นและฝุ่นละออง ที่นอนแบบนี้จึงไม่มีกลิ่นอับ เพียงแค่เปิดหน้าต่างให้ห้องมีอากาศถ่ายเทอยู่เป็นประจำก็เพียงพอแล้ว

 

นอกจากนี้ ที่นอนยางพารายังมีคุณสมบัติของความเป็นยางคือมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง จึงวางใจได้ว่าจะไม่ยุบตัวเป็นแอ่งตรงจุดที่นอน มีความนุ่มพอสมควร ทั้งนี้ ความยืดหยุ่นของที่นอนยางพาราจะขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของยางพารา ซึ่งผู้ซื้อต้องตรวจสอบให้ดี เนื่องจากที่นอนประเภทนี้ถ้าเป็นยางพาราแท้ ๆ จะมีราคาสูง ผู้ผลิตหลายรายจึงมักจะนำวัสดุอื่น ๆ เช่น ใยมะพร้าว ฟองน้ำ ยางสังเคราะห์ เข้ามาเป็นส่วนผสมซึ่งคุณสมบัติที่ได้จะไม่ดีเท่าที่นอนยางพารา100%

 

2. ที่นอนสปริง

หากที่นอนยางพาราแพงเกินไป ที่นอนสปริงก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากมีราคาที่ต่ำกว่า แต่ยังคงให้คุณสมบัติของความยืดหยุ่นและการคืนตัวที่ดีถึงดีกว่าที่นอนยางพารา เพราะสปริงที่อยู่ในที่นอนจะรองรับสรีระได้ดีกว่า เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบนอนตะแคงเพราะสปริงจะยุบตัวลงไปไม่กดทับ จึงไม่ปวดบริเวณไหล่เวลานอน แต่การเลือกซื้อที่นอนสปริงนั้นต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเพราะปัจจุบันผู้ผลิตมีการออกแบบที่นอนสปริงหลายรูปแบบ ได้แก่

 

  • สปริงแบบแยกอิสระ Poster Tech ซึ่งทำให้สปริงสามารถรองรับการนอนของเราได้อย่างเต็มที่ แม้เป็นเตียงคู่เมื่อแต่ละคนพลิกตัวหรือเคลื่อนไหวก็ไม่สะเทือนไปรบกวนอีกคนหนึ่ง แต่อาจจะมีการเสียดสีกันระหว่างสปริงด้วยกันเองได้

 

  • สปริงแบบแยกอิสระ Pocket Spring เป็นสปริงอิสระเช่นกันแต่สปริงจะถูกบรรจุอยู่ในช่องที่มีผ้ากันระหว่างกันจึงลดปัญหาสปริงเสียดสีกันเองได้

 

  • สปริงประเภท Bonell Spring ซึ่งเป็นสปริงแบบต่อเนื่อง ทำให้การสะเทือนนั้นแผ่กระจายไปทั้งที่นอน แต่จะไม่เหมาะกับเตียงคู่แม้ว่าจะมีราคาต่ำกว่าที่นอนสปริงแบบอื่น

 

ที่นอนสปริงนั้นมีความคงทนมาก สังเกตได้จากเป็นที่นอนที่โรงแรมชั้นนำต่าง ๆ เลือกนำไปใช้ในห้องพัก แต่ต้องระวังที่นอนราคาถูกมาก ๆ จะเป็นที่นอนที่ภายในเป็นขดลวดแทนสปริง

 

3. ที่นอนฟองน้ำ

ความนุ่มและนิ่มของฟองน้ำคือคุณสมบัติหลัก แต่ที่นอนประเภทนี้จะมีความยืนหยุ่นและการคืนตัวที่ไม่ดีเท่าที่นอนยางพาราและที่นอนสปริง และอายุการใช้งานจะสั้นกว่าที่นอนประเภทอื่น ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังเพราะที่นอนจะอ่อนนุ่มและยวบ ไม่มีแรงต้านเพื่อรองรับสรีระมากเท่าที่นอนสปริง แต่ถ้าชอบจริง ๆ ควรเลือกที่มีความหนาสักหน่อย ปัจจุบันผู้ผลิตได้ฟองน้ำให้หนาแน่นขึ้นและคงทนมากขึ้นจากในอดีต

 

4. ที่นอนใยมะพร้าว

ที่นอนประเภทนี้จะผลิตขึ้นมาจากใยมะพร้าวนำมาอัดกันแน่นด้วยกาวขึ้นรูปแบบที่นอน ทำให้ที่นอนมีความแน่นและทึบ ถ้าหากกำลังมองหาที่นอนที่ค่อนข้างแข็ง ไม่อ่อนยวบ ไม่ยุบตัว คุณสามารถพบคุณสมบตินี้ได้ในที่นอนใยมะพร้าว แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าที่นอนประเภทนี้เมื่อเสื่อมคุณภาพแล้วไม่ควรจะฝืนใช้งานต่อไปมากที่สุด การเสื่อมสภาพจะเริ่มจากการเปื่อยยุ่ย ฉีกขาดของผ้าที่หุ้มภายนอก จากนั้นใยมะพร้าวจะเริ่มลุ่ยเป็นขุยเป็นฝุ่นผง อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

 

เพื่อการเลือกซื้อ ที่นอนที่ดี อย่างเหมาะสม ควรจะไปเลือกด้วยตนเองดีที่สุด เพื่อทำการทดลองนอนอย่างน้อยสัก 5-10 นาที ซึ่งเราจะได้คำตอบว่าที่นอนนั้นเหมาะสมกับเราหรือไม่ และควรสอบถามพนักงานขายด้วยว่า มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรีย ด้วยหรือไม่ เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อคุณและครอบครัว

 

วิธีเลือกการที่นอนให้เหมาะกับตัวเรา

 

  1. เลือกขนาดที่นอน (ตามขนาดลำตัว) ที่นอนขนาด Single Size คือที่นอนขนาด 3 ฟุต (กว้าง 105 เซนติเมตร ยาว 198 เซนติเมตร) เหมาะสำหรับคนนอนแค่คนเดียว เนื่องจากความกว้างมีไม่มากพอ สำหรับการนอนสองคน

 

ที่นอนขนาด Queen Size

Queen Size คือที่นอนขนาด 5 ฟุต (กว้าง 150 เซนติเมตร ยาว 198 เซนติเมตร) เหมาะสำหรับการนอน 1-2 คน

 

ที่นอนขนาด King Size 

King Size คือที่นอนขนาด 6 ฟุต (กว้าง 180 เซนติเมตร ยาว 198 เซนติเมตร) สามารถนอนได้ 2-3 คน

 

  1. เลือกที่นอนกับขนาดของห้อง การเลือกขนาดของที่นอนควรเลือกให้สัมพันธ์กับขนาดข้องห้อง เช่น หากคุณอาศัยในคอนโดขนาดเล็ก การเลือกใช้ที่นอนขนาด King Size อาจเป็นการใช้พื้นที่มากเกินไป จนเบียดเบียนเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น เช่น โต๊ะทำงาน, ตู้เสื้อผ้า ถ้าหากอาศัยอยู่คนเดียวหรือมีห้องนอนหลักเพียงห้องเดียวอาจใช้เป็นที่นอน Single Size เพื่อความเหมาะสมกว่า

 

  1. เลือกที่นอนให้เหมาะกับวัย

 

ผู้สูงอายุ ที่นอนสูงอายุ ควรเลือกฟูกที่ค่อนข้างแข็งและหนา โดยความสูงของที่นอนไม่ควรสูงเกินไป ทั้งนี้การเลือกที่นอนสำหรับผู้สูงอายุ ควรเลือกที่นอนที่มีความกว้างมากพอให้พลิกตัวได้ อย่างที่นอนขนาด Queen Size ขึ้นไป

 

เด็กอ่อน ที่นอนที่เหมาะสำหรับเด็กอ่อน ควรเป็นที่นอนเด็กอ่อนโดยเฉพาะ ต้องที่กั้นเพื่อป้องกันเด็กตก แต่ทั้งนี้ที่กั้นไม่ควรมีช่องว่างเนื่องจากมีโอกาสที่ศีรษะของเด็กจะเข้าไปติดในช่องว่างได้

 

  1. เลือกที่นอนจากน้ำหนัก ที่นอนที่ดีไม่ควรนิ่มและแข็งจนเกินไป แต่ควรจะเลือกที่นอนจากน้ำหนักตัวผู้ใช้งาน โดยการเลือกที่นอนจากน้ำหนักสามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้ เช่น คนที่มีน้ำหนักมาก รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อรองรับน้ำหนัก ป้องกันการยุบตัวของที่นอน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง

 

  1. เลือกจากค่าความหนาแน่น สำหรับค่าความหนาแน่นของที่นอน (Density) จะเกี่ยวข้องต่อกับการรับน้ำหนักของผู้ใช้ ยิ่งค่าความหนาแน่นมากจะสามารถรับน้ำหนักได้มาก ซึ่งค่าความหนาแน่นจะเริ่มต้นตั้งแต่ 70-110 KG/m3

 

**ข้อแนะนำ**

สำหรับการเลือกใช้ที่นอนของผู้สูงอายุควรมีค่าความหนาแน่น ระหว่าง 100-110 KG/m3 จะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้

 

  1. เลือกจากการใช้งาน การใช้งานในที่นี้จะให้ความสำคัญที่จำนวนผู้นอน หากบ้านไหนที่นอนด้วยกันหลายคนบนที่นอนอันเดียว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ที่นอนแบบสปริง มาใช้ที่นอนยางพาราแทน เพื่อลดการเกิดเสียงเวลาพลิกตัว อันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่รบกวนการนอนหลับของคนข้างๆ

 

การเลือกที่นอนที่ดีควรพิจารณาจากความเหมาะสมหลายปัจจัย เช่น น้ำหนักตัว, ขนาดของห้อง จนไปถึงอายุของผู้ใช้งาน นอกจากนี้การเลือกที่นอน ราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นด้วย เพราะที่นอนเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่ลดราคาค่อนข้างบ่อย หากจังหวะดีสามารถประหยัดค่าที่นอนได้เป็นหมื่น

 

แต่ถ้าหากไม่รู้ว่าจะตรวจสอบราคาที่นอนได้จากไหน ได้รวบรวมที่นอนไว้เพียบ ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง คุ้มค่าคุ้มราคา เราพร้อมเป็นตัวช่วยเรื่องแต่งบ้านเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง 

 

บางคนงบน้อยก็อาจจะซื้อที่นอนในราคาไม่สูงมาก วิธีที่ทำให้เรานอนสบายได้ยังมีอีกวิธี นั่นก็คือ Topper ถือเป็นสิ่งสำคัญที่รองลงมาจากที่นอนเลยก็ว่าได้ Topper สามารถช่วยรองที่นอนและยังทำให้การนอนสบายขึ้นไปอีกขั้น สำหรับคนที่มีงบน้อยอาจมองหาเป็น Topper ดีๆไว้พิจารณาได้ ไปดูกันดีกว่าว่าการเลือกซื้อ Topper ต้องเลือกและดูอะไรบ้าง

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อน ซื้อ Topper 

 

  • วัสดุที่ใช้คืออะไร

ท็อปเปอร์ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จะทำมาจากน้ำยางพารา ขนสัตว์ ใยสังเคราะห์ หรือไม่ก็ฟองน้ำ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป และคุณต้องเช็กไปด้วยตัวเองชอบหรือเหมาะกับวัสดุแบบไหนมากที่สุด เช่น ถ้าเป็นใยสังเคราะห์หรือฟองน้ำ ก็จะไม่เหมาะกับคนที่แพ้หรือไม่ชอบกลิ่นสารเคมี จึงควรเลือกใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เช่น ยางพาราหรือขนสัตว์

 

  • ความนุ่มแน่นเป็นยังไง

ถามตัวเองก่อนว่าชอบนอนนุ่มขนาดไหน ถ้าชอบนอนนุ่มสุด ๆ เหมือนจมอยู่ในปุยนุ่น คุณก็อาจใช้เป็นท็อปเปอร์ชนิดใยสังเคราะห์หรือขนสัตว์ น่าจะนอนได้สบายกว่า แต่ถ้าไม่ชอบนอนนุ่มเกินเพราะกลัวปวดหลัง ก็ควรเลือกเป็นท็อปเปอร์แบบฟองน้ำหรือยางพารา ซึ่งจะมีแรงต้านหรือคืนตัวได้มากกว่าและให้สัมผัสนุ่มแน่น

 

  • รองรับสรีระได้ดีหรือเปล่า

อาการปวดหลังเป็นอาการที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน เพราะเราใช้ร่างกายกันหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณเองก็คงเคยเจออาการเจ็บป่วยนี้หรืออาจเจอในสักวันหนึ่งได้ ดังนั้นแนะนำให้ไปลองนอนที่ร้านโดยตรงว่า เวลาคุณออกแรงกดหรือนั่งลงไปแรง ๆ ผิวสัมผัสมีการคืนตัวได้ทันทีไหม ถ้าพบว่ากดลงไปแล้วผิวด้านบนค่อย ๆ ฟูขึ้นมา แสดงว่ายังรองรับสรีระได้ไม่ดีพอ และต้องเตรียมใจไว้ว่าอายุการใช้งานของท็อปเปอร์แบบนี้จะค่อนข้างสั้น เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงให้มากที่สุด ควรเลือกใช้เป็นท็อปเปอร์ที่มีการการันตีเรื่องการรองรับสรีระ

 

  • ช่วยป้องกันไรฝุ่นด้วยไหม

แค่ออกไปเจอความเสี่ยงทั้งมลพิษและโควิดข้างนอก ร่างกายก็แทบจะไม่ไหวแล้ว อย่าให้ช่วงเวลาพักผ่อนอยู่บ้าน คุณยังต้องมาเจอความเสี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะไรฝุ่นบนที่นอน จนกลายเป็นปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจเพิ่ม ดังนั้นมองหาท็อปเปอร์ที่มีเทคโนโลยี Nano Zinc Oxide ไว้ตั้งแต่แรก จะช่วยให้อุ่นใจได้เยอะว่าปอดของคุณจะแข็งแรงไปได้อีกนาน

 

  • เคลื่อนย้ายสะดวกแค่ไหน

กลุ่มคนที่เลือกใช้ Topper ที่นอน นอกจากเหตุผลเรื่องไม่อยากเปลี่ยนที่นอนใหม่ ก็คืออยากได้ที่นอนแบบพกพาสะดวก ดังนั้นถ้าเจอท็อปเปอร์ที่หนามากกว่า 2-3 นิ้วขึ้นไป นั่นอาจไม่ใช่ขนาดที่เหมาะกับการหอบหิ้วหรือพกติดรถไว้ได้ และนอกจากพักเก็บง่ายแล้ว เวลากางออกมาใช้ใหม่ต้องยังคงรูปได้ดี ไม่มีเสียทรงไปตามรอยพับ

 

  • ลดแรงสั่นสะเทือนได้ขนาดไหน

ข้อนี้แนะนำเป็นพิเศษสำหรับสายนักเดินทาง เช็กให้ดีว่าท็อปเปอร์ที่กำลังจะซื้อมีคุณสมบัติเรื่องป้องกันแรงสั่นสะเทือนได้มากแค่ไหน เพราะเราเชื่อว่าการเดินทางอย่างยาวนานทำให้คุณล้าไปทั้งตัว ถ้าระหว่างแวะพักนอนแล้วเจอปัญหาคนข้างพลิกตัวที พื้นที่นอนก็ยุบง่ายจนเรานอนหลับไม่สนิทไปด้วย คงอารมณ์เสียน่าดู ถ้าไม่อยากหงุดหงิดเพราะปัญหานี้ มองหาท็อปเปอร์ที่มีเทคโนโลยีดีๆไว้แต่ต้น จะต้องนอนหลับสบายแน่นอน

 

  • นอนนานๆ แล้วจะร้อนหรือเปล่า

เมื่อมีความจำเป็นต้องย้ายที่นอนหรือเดินทางบ่อย การได้เลือก Topper ที่สามารถระบายอากาศไปในตัวไว้ จะช่วยให้คุณไม่ต้องทรมานจากความร้อนสะสมในขณะที่นอน ที่สำคัญคือ ท็อปเปอร์แบบระบายอากาศได้ยังช่วยลดการอับชื้นและกลิ่นเหม็นจากเหงื่อไคล ดังนั้นซื้อ Topper แบบนี้ติดไว้ หมดห่วงเรื่องที่นอนเหม็นอับจนปวดหัวไปได้เยอะ

 

  • ราคากับคุณภาพเหมาะสม

เราเชื่อว่าหลายคนยอมรับได้ หากสินค้ามีราคาสูงแต่คุณภาพอัดแน่น เพราะฉะนั้น เวลาเปรียบเทียบราคาระหว่าง Topper ที่นอนหลาย ๆ แบบ ต้องมองคุณภาพโดยรวมไปด้วยว่าคุ้มค่าสมราคาแค่ไหน เช่น Topper ฟองน้ำบางรุ่นมีราคาสูสีกับ Topper ยางพารา แต่เทียบกันแล้วน้ำยางพาราดีต่อสุขภาพมากกว่าในระยะยาว ก็อาจต้องยอมเสียเงินเพิ่มสักนิด แลกกับการยกระดับที่นอนธรรมดาสู่ห้าดาว

 

เพราะฉะนั้น ก่อนตัดสินใจควักเงินจ่าย ควรตรวจสอบให้ดีว่าท็อปเปอร์นั้นมีมาตรฐานน่าเชื่อถือเพื่อให้คุณมั่นใจได้มากที่สุดว่าการเสียเงินครั้งนี้จะได้ท็อปเปอร์ที่มีความคุ้มค่า นอกจากนั้น ถ้ามีเรื่องสอบถามเพิ่มเติมก็มีทีมงานพร้อมให้คำปรึกษาได้อยู่เสมอ

 

เราเห็นความสำคัญของการนอน การนอนที่ดี ควรหลับสนิทตลอดคืน ที่นอนปีนัง คุณภาพและมาตรฐาน ความเชี่ยวชาญในการผลิต ที่นอนที่ดี  ทำให้เป็นที่ยอมรับในโรงแรมระดับ 4-5 ดาว เพราะที่นอนปีนัง เลือกสรรเฉพาะวัสดุคุณภาพสูงในขั้นตอนการผลิต ที่ได้รับมาตรฐานสากล ผ่านกระบวนการผลิตที่ดีที่สุดในโลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคนิคเฉพาะในการประกอบที่นอน ทำให้ที่นอนปีนัง เหมาะสมต่อการนอนหลับพักผ่อน ทั้งยังช่วยส่งเสริมการนอน ทำให้หลับสนิทตลอดคืน โรงงานที่นอน | ท็อปเปอร์ | mattress | topper | เครื่องนอน | โรงงานที่นอน-เครื่องนอนปีนัง ถูกที่สุดในโลก

 

ตู้เหล็ก lucky

ตู้เหล็ก lucky

 

ตู้เหล็ก lucky – เหมาะกับพนักงานราชการและสำนักงานเอกชนที่มีเอกสารต้องจัดเก็บในปริมาณมากและเก็บไว้เป็นเวลานาน รวมถึงการเก็บเอกสารไว้อย่างเป็นความลับเพราะตู้ทึบและถูกทำลายได้ยาก ที่สำคัญคือประหยัดต้นทุนเรื่องตู้ไปได้มากกว่าตู้ชนิดอื่น และหากต้องการใช้ในบ้านก็เหมาะกับการเก็บเอกสารสำคัญไว้ในห้องส่วนตัวหรือห้องเก็บของเพราะไม่เหมาะกับการตั้งโชว์

ข้อดี 

  • แข็งแรงทนทานใส่เอกสารหนักๆ น้ำหนักมหาศาลได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะพัง
  • เก็บเอกสารด้านในได้อย่างมิดชิดเพราะเป็นตู้ทึบ
  • ราคาไม่สูง หาซื้อได้ง่าย
  • รูปแบบการใช้งานของตู้เหมาะกับผู้จัดซื้อหรือผู้ประกอบการที่อยากลดต้นทุนเรื่องตู้เอกสาร

ข้อเสีย

  • ดีไซน์ไม่เหมาะกับการตั้งโชว์
  • เสี่ยงการเกิดสนิม

 

การเลือกซื้อตู้เก็บเอกสาร

 

แม้ว่าความนิยมของการเก็บเอกสารแบบอิเลคทรอนิกส์จะเพิ่มมากขึ้น แต่ในหลาย ๆ สำนักงานก็ยังคงต้องใช้ตู้เก็บเอกสารอยู่ การเลือกซื้อตู้สักใบไม่ใช่แค่เลือกว่าต้องการกี่ลิ้นชัก ซึ่งการพิจารณาเลือกซื้อที่ดีจะมีผลคือแทนที่จะได้ระบบจัดเอกสารที่ดูเรียบร้อย คุณอาจจะยังต้องมีเอกสารกองพะเนินอยู่บนโต๊ะอยู่ดี ปัจจัยที่ควรจะนำมาพิจารณานั้นก็คือพื้นที่ของสำนักงาน ขนาดและชนิดของเอกสารที่จัดเก็บ รวมถึงประสิทธิภาพในการผลิต

 

ชนิดของตู้เอกสาร

 

ตู้เอกสารในปัจจุบันนั้น แบ่งออกได้เป็นสองชนิดด้วยกันคือ ตู้เอกสารแบบแนวตั้ง และตู้เอกสารแบบแนวนอน ตู้เอกสารแบบแนวตั้งเป็นรุ่นดั้งเดิมที่ใช้มาตั้งแต่สมัยแรกๆ มีตั้งแต่ 2-5 ลิ้นชัก ซึ่งมักใช้เก็บเอกสารขนาดจดหมาย หรือ ขนาด Legal ไว้ที่ด้านหน้าของลิ้นชัก ตู้เอกสารอีกชนิดหนึ่งคือ ตู้เอกสารแนวขวาง ซึ่งกว้างกว่าธรรมดามาก ทำให้สามารถเก็บเอกสารจากด้านหน้า หรือเก็บจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ซึ่งตู้ประเภทนี้ไม่ลึกเท่าตู้เอกสารแนวตั้ง และสามารถที่จะใช้เป็น ฉากกั้น (Partition) ได้ในเวลาเดียวกัน

 

ตู้เอกสารแนวตั้ง โดยมากจะเหมาะกับสำนักงานที่มีพื้นที่กำแพงน้อย ถึงแม้ว่ามันจะเก็บเอกสารได้ไม่มากเท่าตู้แนวขวางแต่ก็กินเนื้อที่น้อยกว่า และลิ้นชักมีความลึก 15-28 นิ้ว โดยประมาณ

 

ตู้เอกสารแนวขวางจะยืดหยุ่นกว่าในเรื่องของการจัดเก็บ เราสามารถเก็บเอกสารขนาด Legal และ Letter ได้ในลิ้นชักเดียวกัน ในขณะที่ตู้แนวตั้งต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง ลิ้นชักของตู้ประเภทนี้ก็มักจะใหญ่กว่า และสามารถเก็บเอกสารได้มากกว่าตู้ตั้งมาตรฐานได้ถึง 1/3 เท่า และมีความกว้างโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 36 – 42 นิ้ว

 

คุณภาพของตู้เอกสาร

 

ตู้เหล็ก lucky ข้อบ่งชี้อย่างแรกของตู้เอกสารที่มีคุณภาพดีก็คือ ถึงแม้ว่าเราจะวางเอกสารไว้เยอะ น้ำหนักมาก ตัวยึดลิ้นชักจะต้องรับน้ำหนักได้ และเปิด / ปิดได้อย่างไม่ติดขัด

 

จุดเด่นด้านความปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องที่ควรให้ความสนใจ เราควรจะมองหากลไกที่ช่วยป้องกันไม่ให้ลิ้นชักเกยหรือกระทบกันเวลาที่เปิดออกมาหลายตัวพร้อมกัน ตู้ที่มีคุณภาพจะใช้ลิ้นชักที่มีน้ำหนักสมดุลกัน และมีตัวล๊อกด้านในให้เปิดลิ้นชักได้ครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น

 

ตู้เอกสารนั้น ยิ่งใช้งานมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดความเสียหายได้มาก ตู้ที่ใช้วัสดุเหล็กที่มีคุณภาพดี หนา และทนทานจะสามารถต้านทานความเสียหายของตู้เอกสารได้ทั้งภายนอกและภายใน          

ความต้านทานต่อไฟ และแรงกระแทก

 

ได้มีการทดสอบพิเศษเกี่ยวกับการทนไฟและแรงกระแทกโดยห้องทดลองของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งบอกว่าตู้เอกสารจะสามารถทนไฟที่ประมาณ 1700 degree และที่ความร้อนได้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 350 F ภายในหนึ่งชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น ตู้บางใบยังสามารถป้องกันได้แม้กระทั่งแผ่นดิสก์และเทป ซึ่งจะต้องเก็บในอุณหภูมิต่ำกว่า 125 degree อีกด้วย

 

ตัวเลือกอื่น ๆ ในการจัดเก็บเอกสาร

หากคุณมีพื้นที่จำกัด แต่มีเอกสารที่ต้องการจัดเก็บมาก คุณอาจใช้ระบบกลไกเพื่อประหยัดพื้นที่ เช่น ตู้เอกสารแบบลูกรอก ซึ่งจะสามารถเก็บเอกสารได้ในประมาณมาก เมื่อต้องการหยิบหรือวางเอกสาร ก็เพียงแต่หมุนลูกรอกหรือแยกมันออกให้เกิดช่องว่าง

อีกทางเลือกหนึ่งคือ ชั้นวางอิสระแบบเปิด ซึ่งเป็นชุดของชั้นวางที่จะวางเรียงข้าง ๆ กันหรือซ้อน ๆ กันก็ได้ ด้วยความที่มันไม่มีอะไรปิด ทำให้เราสามารถหยิบเอกสารได้ง่าย และชั้นวางลักษณะนี้ราคาไม่แพง หากคุณคิดจะขยายเพิ่มทีหลัง

สำหรับการเก็บเครื่องมือหรือเอกสารสำคัญ ตู้เซฟน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะหากซื้อเป็นตู้เก็บเอกสาร คุณจะต้องเพิ่มเงินเพื่อให้มันทนไฟและแรงกระแทก

 

ราคา

ต้นทุนของตู้เอกสารนั้นขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ จำนวนลิ้นชัก รูปทรงและตัวล๊อกลิ้นชัก เช่น ตู้เอกสารสองลิ้นชักจะถูกกว่าตู้เอกสารห้าลิ้นชัก ตู้เอกสารแนวขวางราคาอาจจะแพงกว่าแบบแนวตั้ง ถ้าทนไฟและแรงกระแทกได้ ราคาก็แพงขึ้นอีก

 

เคล็ดลับในการเลือกซื้อ

ซื้อตู้เอกสารที่เข้าชุดกับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะผลิตตู้เอกสารหลากหลายรูปแบบ สี และ วัสดุ เพื่อให้เข้ากันได้กับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ตรวจสอบความกว้างภายในลิ้นชัก

ตู้เอกสารบางใบอาจจะกว้างกว่าปกติ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ชอบวางแฟ้มทีละมาก ๆ และควรจะรู้ว่าต้องการลิ้นชักที่จุได้มากที่สุดเท่าใด

 

หลีกเลี่ยงการแขวนแฟ้ม

การแขวนแฟ้มอาจจะทำให้ดูเกะกะ ควรมองหาตู้ที่ด้านข้างของลิ้นชักสูง ไม่มีรางแขวน

ประหยัดเงินด้วยการซื้อตู้เอกสารใช้แล้ว เพราะวัสดุที่ใช้ผลิตตู้เอกสารสมัยก่อนจะมีคุณภาพดี แต่ต้องตรวจสอบเสียงรบกวนหรือรอยขีดข่วนต่าง ๆ

 

บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ฮอลลีวูดแว็กซ์

บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ & ฮอลลีวูดแว็กซ์

 

แว็กซ์ (Waxing) เป็นวิธีการกำจัดขนโดยการทาแว็กซ์อุ่นๆ บนผิวหนัง จากนั้นจึงกำจัดขนออกในคราวเดียว จึงทำให้มีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็จะทำให้ขนที่ต้องการกำจัดนั้นออกจากราก ซึ่งจะใช้เวลานานกว่าขนใหม่จะงอกขึ้น และเมื่องอกแล้วก็ยังมอบสัมผัสที่บางเบาอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นการแว็กซ์ก็ยังจะผลัดเซลล์ผิวที่ตายหรือเสื่อมสภาพให้กลับมาผิวสัมผัสเรียบเนียนขึ้น ซึ่งการแว็กซ์ มี 2 แบบ คือ บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ฮอลลีวูดแว็กซ์

 

บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ Brazilian Wax คืออะไร

เป็นการกำจัดขนในที่ลับบริเวณด้านหน้า ตรงกลาง และด้านหลัง โดยเหลือขนเล็กน้อยบริเวณด้านหน้า ซึ่งสามารถเลือกรูปแบบได้ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือหัวใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจหรือสร้างความพึงพอใจส่วนตัวให้กับสาวๆ เมื่อต้องสวมชุดว่ายน้ำ 

 

แม้ว่าคนไทยเองอาจไม่คุ้นเคยกับการดูแลตนเองในรูปแบบนี้ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลือกกำจัดขนในที่ลับเป็นประจำด้วยเหตุผลแตกต่างกันออกไป สำหรับมือใหม่หรือคนที่สนใจเกี่ยวกับ Brazilian Wax ข้อมูลด้านล่างนี้อาจช่วยคุณได้ เพื่อประสบการณ์การทำ Brazilian Wax ที่ดี ปลอดภัย และถูกใจ 

 

1.Brazilian Wax 

เป็นการกำจัดแบบดั้งเดิมเป็นการกำจัดขนทั้งหมดใต้ร่มผ้าช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นขนบริเวณขาหนีบ ก้น และรอบอวัยวะเพศ ซึ่ง Brazilian Wax ยังสามารถแตกออกได้หลายรูปแบบย่อย อย่างการแว็กซ์ขนแค่เพียงส่วนหรือการแว็กซ์ขนให้เป็นรูปทรงต่างๆ ตามความชอบ ในขณะที่ Bikini Wax เป็นการกำจัดขนบริเวณนอกขอบบิกินี่หรือกางเกงชั้นใน ส่วนใหญ่มักจะเป็นบริเวณขาหนีบ 

 

2. Brazilian Wax อาจทำให้เจ็บได้เหมือนกัน

Brazilian Wax ก็เหมือนกับการแว็กซ์ขนรูปแบบอื่นๆ ที่อาจทำให้รู้สึกเจ็บ เพราะเป็นการดึงขนทั้งเส้นออกมาจากรูขุมขน ทำให้รูขุมขนและผิวหนังอักเสบ โดยเฉพาะการแว็กซ์ครั้งแรก อย่างไรก็ตาม การแว็กซ์ขนครั้งต่อไปมักจะเจ็บน้อยลง ซึ่งอาจเกิดจากเส้นขนและรากขนนั้นยังไม่แข็งแรงมาก หรือหากใครรับบริการ Brazilian Wax ตามร้านกำจัดขน พนักงานที่ผ่านการฝึกฝนก็อาจมีเทคนิคที่ช่วยให้เจ็บน้อยลง

 

3. Brazilian Wax อาจทำให้ผิวบอบบางขึ้น

การแว็กซ์ขนทำให้รูขุมขนและผิวหนังเสียหายในช่วงแรกหลังการแว็กซ์ ผิวหนังก็อาจบอบบาง แพ้ง่าย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น ผู้ที่เข้ารับการทำ Brazilian Wax จึงควรรักษาความสะอาดของผิวหนังส่วนที่แว็กซ์เป็นอย่างดี  โดยควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง อย่างแอลกอฮอล์และน้ำหอม หากสาว ๆ คนไหนกำลังมีรอบเดือนหรือใกล้รอบเดือน ควรเลื่อนนัดการทำ Brazilian Wax ออกไปก่อน เพราะผิวหนังส่วนนั้นอาจไวต่อความเจ็บปวดมากกว่าช่วงปกติ

 

4. Brazilian Wax อาจดีกว่าการโกน

แม้ว่าการโกนขนใต้ร่มผ้าด้วยมีดโกนอาจเป็นวิธีที่สะดวก ประหยัด และคุ้นเคยสำหรับคนที่กำจัดขนเป็นประจำ แต่ขนที่สั้นลงจากการโกนมักกลับมายาวขึ้นโดยใช้เวลาไม่นาน ในขณะที่ Brazilian Wax จะช่วยกำจัดรากขนและขนทั้งเส้นในครั้งเดียว ทำให้ไม่ต้องกำจัดขนบ่อย และไม่รบกวนผิวบ่อยเกินไปเมื่อเทียบกับการโกน อีกทั้งมีความเชื่อว่าการแว็กซ์ขนอาจช่วยให้ขนที่เกิดนิ่มลง บางลง ไม่เป็นตอ และกำจัดได้ง่ายขึ้น

 

5. Brazilian Wax มีผลข้างเคียงหรือไม่??

นอกจากอาการเจ็บจากการกำจัดขนแล้ว การทำ Brazilian Wax อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวหนังระคายเคือง แพ้ง่าย และคันในช่วงที่ขนเกิดใหม่ ซึ่งอาการมักไม่อันตรายและดีขึ้นเองภายใน 24 ชั่วโมง

 

อย่างไรก็ตาม การดูแลตัวเองที่ไม่เหมาะสมหรือสาเหตุบางอย่างอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นได้ เช่น เลือดซิบ ขนคุด รูขุมขนอักเสบ เป็นตุ่ม และผิวหนังอักเสบที่อาจดีขึ้นเอง แต่มีส่วนน้อยที่อาการรุนแรงขึ้นหรือไม่หายไป โดยผิวหนังอาจเกิดการติดเชื้อจนเป็นหนอง เป็นแผลพุพอง ผิวบวมแดง กดแล้วเจ็บ ผิวหนังอุ่นก็ควรไปพบแพทย์  

 

การดูแลผิวหลังการทำ Brazilian Wax 

หลังจากการทำ Brazilian Wax ควรเลือกกางเกงชั้นในและกางเกงที่ไม่แน่นจนเกินไป ระบายอากาศได้ดี และทำจากเนื้อนิ่มเพื่อลดการเสียดสี หากรู้สึกเจ็บและมีการอักเสบของผิวสามารถอาจบรรเทาด้วยการประคบเย็น 

 

นอกจากนี้ สามารถทาโลชั่นหรือผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิว เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้ดีขึ้น อย่างน้ำมันต้นชา (Tea Tree Oil) และเจลว่านหางจระเข้ หากมีอาการคันจากขนเกิดใหม่ ควรหลีกเลี่ยงการเกาหรือถู เพราะอาจทำให้อาการคันรุนแรงขึ้น เป็นแผล และผิวหนังอักเสบ

 

บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ เหมาะกับใคร

Brazilian Wax ทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ค่อนข้างปลอดภัยหรือมีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายอยู่แล้ว กำลังตั้งครรภ์ มีโรคผิวหนัง หรือเคยแพ้ส่วนประกอบในแว็กซ์ ควรหลีกเลี่ยงการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ เพราะอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงรุนแรง 

 

แต่หากต้องการทำ Brazilian Wax ควรปรึกษาแพทย์ถึงความปลอดภัยและความจำเป็น ซึ่งแพทย์สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้อง หรือแนะนำการกำจัดขนแบบอื่นที่ปลอดภัยและเหมาะสมมากกว่า

 

แม้ว่าการทำ Brazilian Wax มีข้อดีมากกว่าการโกน แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ งบประมาณ และความถนัดของแต่ละคน ซึ่งการกำจัดขนด้วยการโกนหรือวิธีอื่นก็มีข้อดีและข้อควรระวังที่ต่างออกไป หรือหากรู้สึกว่าการกำจัดขนไม่จำเป็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจุดประสงค์ของการกำจัดขนส่วนใหญ่มักเป็นความชอบและความพึงพอใจส่วนตัว

 

สิ่งที่สำคัญมากกว่าการทำ Brazilian Wax และการกำจัดขนรูปแบบอื่น คือ การดูแลร่างกายทุกส่วนให้สะอาดด้วยวิธีที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพื่อสุขอนามัยที่ดี

 

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์

เชื่อหรือไม่ กระบวนการก่อนทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ มีความสำคัญพอๆ กับการดูแลหลังทำแว็กซ์ เพื่อให้แน่ใจว่าระหว่างแว็กซ์นั้นจะไม่มีปัญหาและกำจัดขนได้ง่ายที่สุด และนี่คือขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติก่อนทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์

 

  1. ตรวจสอบให้แน่ว่าคุณมีขนยาวเพียงพอ และห้ามเล็มขน ก่อนทำแว็กซ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเพื่อนๆ มีความยาวของขนประมาณ 1/8 ถึง 1/4 นิ้ว นี่คือความยาวที่เหมาะที่สุดสำหรับการแว็กซ์ เพราะแว็กซ์จะจับผมได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ และดึงขนออกจากรากโดยไม่ให้เส้นขนขาด ที่สำคัญ อย่าโกนขนโดยเด็ดขาด  เพราะจะทำให้เส้นขนแข็ง และเวลาแว็กซ์จะเจ็บมากๆ 

 

  1. สครับผิวทำความสะอาด เมื่อผิวแห้ง จะทำให้ขนของคุณขาดเมื่อทำการแว็กซ์ เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายได้เกาะกับเส้นขน เพื่อให้การแว็กซ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรขัดผิวและให้ความชุ่มชื้นก่อนการนัดหมาย 1 วัน เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และทำให้แว็กซ์สามารถจับตัวเส้นขนขึ้นมาได้เยอะขึ้น รู้อย่างนี้จะไม่สครับผิวได้ยังไง

 

  1. ทานยาแก้ปวด การทานยาแก้ปวดก็เป็นหนึ่งวิธีที่ดีก่อนทำการแว็กซ์ เพราะจะช่วยลดการอักเสบของผิวหนังและยังช่วยลดอาการปวดต่างๆ ในช่วงระหว่างทำและหลังทำแว็กซ์ แนะนำให้ทานยาแก้ปวดประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนแว็กซ์ หรือทาครีมที่ทำให้ชาก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีที่บรรเทาอาการปวด แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงมอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะจะทำให้แว็กซ์ไม่ติดกับขน

 

  1. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ข้อนี่น่าจะลำบากสำหรับใครบางคน แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงคาเฟอีนสักสองสามชั่วโมงก่อนการแว็กซ์  เพราะคาเฟอีนสามารถกระตุ้นประสาทมากขึ้นและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เลยทำให้ผิวเซนซิทีฟมากยิ่งขึ้นด้วย! ยิ่งถ้าเป็นบริเวณน้องสาว ของเรา ไม่อยากจินตนาการเลยว่าตอนแว็กซ์จะเจ็บขนาดไหน

 

  1. หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ช่วงใกล้ประจำเดือน ไม่แนะนำให้แว็กซ์ 5 วันก่อนและ 5 วันหลังจากระยะเวลาของคุณเพราะในช่วงเวลานี้ร่างกายมีความไวต่อความรู้สึกมาก และทำให้เวลาแว็กซ์เจ็บมากกว่าเดิมมาก ดังนั้นแนะนำเพื่อนๆ ควรจองทำแว็กซ์ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนหรือหลังช่วงประจำเดือนมาจะดีกว่า

 

  1. คิดมาจากบ้านเลยว่าอยากแว็กซ์แบบไหน การทำแว็กซ์จริงๆ แล้วมีหลายแบบมากๆ แต่ละแบบ ก็จะแว็กซ์บริเวณที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนกำลังสนใจทำบิกินี่แว็กซ์อยู่ แนะนำให้เพื่อนๆ คิดลวดลายที่จะทำมาจากบ้านได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลายสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือ ลายหัวใจ (Valentine wax) พอไปถึงที่แว็กซ์ซาลอนแล้วจะได้บอกคุณพี่พนักงานได้เลย

 

  1. หาร้านแว็กซ์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นจากการถามเพื่อนๆ คนอื่นๆ หรือการหาในอินเตอร์เน็ต ว่าร้านนี้มีความเชื่อถือมากแค่ไหน รีวิวดีรึปล่าว เพื่อให้มั่นใจว่าเราทำกับร้านที่มีความเป็นมืออาชีพ ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่รู้ว่าจะทำร้านอะไรดี สามารถดูได้ที่ Wax & co.pure skin สาขา อโศก

 

สิ่งที่ควรรู้ ระหว่างทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์

 

  1. หายใจเข้าลึกๆ และทำใจสบายๆ ปล่อยใจสบายๆ เพราะถ้าเพื่อนๆ เพราะถ้าเพื่อนๆ อย่าไปโฟกัสเวลาตอนแว็กซ์หรือกลัว จะทำให้เพื่อนๆ รู้สึกเจ็บมากยิ่งขึ้น สามารถเล่นโทรศัพท์ได้ หรือเชคเฟส เชคไอจีไปพลางๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือจะชวนพี่ๆ พนักงานคุยก็ได้  เพื่อให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ทำกับผู้เชี่ยวชาญ อาจได้ความรู้และวิธีการดูแลหลังการแว็กซ์ด้วยนะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ

 

  1. อาจจะต้องมีขยับเปลี่ยนท่ากันบ้าง เพื่อที่จะได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด ให้ได้ผิวที่เรียบเนียนเกลี้ยงเกลาไร้ขนจริงๆ บางทีคุณพี่พนักงานที่ทำแว็กซ์ อาจจะขอให้เพื่อนๆ ช่วยขยับท่าทางนิดๆ หน่อยๆ เพื่อกำจัดเส้นขนที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมด ดังนั้นขอให้เพื่อนๆ ทำใจมาก่อนนิดนึงว่าอาจจะมีท่ายากนิดๆ ที่ทางพี่พนักงานแว็กซ์ขอให้เพื่อนทำ ท่องเอาไว้  ว่าเพื่อผลลัพท์ที่ดี

 

สิ่งที่ควรรู้ หลังทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์

 

  1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือเข้าฟิตเนต หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายโดยตรงหลังการแว็กซ์ หรือสวมเสื้อผ้าที่มีเหงื่อออกในวันเดียวกัน เพราะผิวของคุณยังเปราะบางหลังจากแว็กซ์ เมื่อออกกำลังกายยิ่งทำให้เกิดการเสียดสีและระคายเคืองมากกว่าเดิม แถมรูขุมขนยังคงเปิดกว้าง ความอับชื้นจากเหงื่อยังทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย แนะนำให้ปล่อยสบายๆ สัก 2-3 วันหลังแว็กซ์

 

  1. หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่รัดรูป หลังจากที่แว็กซ์เสร็จใหม่ๆ การสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผิวหนังของรู้สึกสบายๆ ลดการอับชื้น และการเสียดสีด้วย

 

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่แว็กซ์ อย่าเพิ่งไปสัมผัสบริเวณที่แว็กซ์ เพราะการสัมผัสบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดขนคุด ระคายเคืองได้ และสามารถเกิดการสะสมของแบคทีเรียที่อยู่ในมือของคุณ เพราะฉะนั้น ไม่สัมผัสดีกว่า รวมไปถึงกิจกรรมบนเตียงด้วย อิอิ

 

  1. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน สระว่ายน้ำ หรือน้ำทะเล  หลังแว็กซ์มาสดๆ ใหม่ๆ สาวๆ คงอยากจะใส่ชุดว่ายน้ำแล้วไปทะเลเลย! แต่ความจริงแล้ว คลอรีนในสระน้ำ การแช่อ่างจากุซซี่ ซาวน่า หรือน้ำทะเล เป็นตัวทำให้ผิวอักเสบและระคายเคือง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสะอาด ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ กำลังวางแผนจะไปทะเล ควรจองแว็กซ์ล่วงหน้าก่อนวันไปสัก 2-3 วัน พอแว็กซ์เสร็จจะได้พอมีเวลาให้พักผิว

 

  1. อย่าลืมสครับผิว  การสครับผิวนี่แหละ ที่เป็นเคล็ดลับที่ดีที่สุดของการป้องการเกิดขนคุด แต่เพื่อนๆ อย่าพึ่งสครับทันทีหลังแว็กซ์  เพราะจะทำให้ผิวแดงมากกว่าเดิม และเกิดการอักเสบได้! ทางที่ดีประมาณ 1-2 วันหลังการแว็กซ์ เพื่อนๆ สามารถสครับผิวบริเวณที่แว็กซ์ได้ทุกวัน เพราะการสครับผิวนี่แหละจะเป็นการช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว ทำความสะอาดสิ่งสกปรก และทำให้ขนที่งอกขึ้นมาใหม่ไม่เป็นขนคุดอีกด้วย

 

  1. แว็กซ์เป็นประจำทุกๆ 4 สัปดาห์  การแว็กซ์เป็นประจำทุกๆ 4 สัปดาห์คือช่วงที่ดีที่สุด เพราะเมื่อคุณแว็กซ์เร็วเกินไปหรือช้าไป ขนจะไวต่อการขาดใต้ผิวหนังได้มากขึ้น และจะก่อให้เกิดขนคุดได้ แนะนำทุกๆ 4 สัปดาห์

 

ไอเดียรูปทรง บราซิลเลี่ยนแว็กซ์

 

  1. ทรง Landing Strip รูปทรงของขนน้องสาวนั้นขึ้นอยู่กับคุณ  แต่ทรง Landing Strip ถือว่าเป็นทรงคลาสสิคทรงนึงก็ว่าได้ ถ้าคุณต้องการให้น้องสาวเรียบร้อย สะอาด โดยที่ไม่รู้สึกเปลือยจนเกินไป ทรงแถบคือคำตอบของคุณ

 

  1. ทรง Bermuda Triangle รูปทรงหน้าตาจะเป็นสามเหลี่ยมกลับหัวลง ด้านบนจะเลี้ยงไว้มากหน่อย ทรงนี้เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบไปทะเล เพื่อเสริมความมั่นใจเมื่อใส่ชุดบิกินี่ เหมาะมากๆ สำหรับบิกินี่ ชุดชั้นในแบบเอวต่ำ และเว้าโคนขาสูง
  2. ทรง Desert Island ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะเอาขนน้องสาวออกจนหมดเกลี้ยง ทรง Desert Island ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี โดยทรงนี้จะเหลือสามเหลี่ยมเล็กๆ ไว้ โดยสามเหลี่ยมนั้นจะเล็กกว่าทรง Bermuda Triangle สไตล์นี้มักจะจับคู่กับแว็กซ์บราซิลมากที่สุด
  3. ทรง Love Heart ถ้าคุณเป็นคนโรแมนติก หรืออยากเพิ่มความโรแมนติค ทรงนี้เหมาะกับคุณแน่นอน โดยทรงต้องเป็นหัวใจแน่นอน อยากได้ขนาดหัวใจเล็กหรือใหญ่ อยู่ที่ความต้องการของคุณเลย แต่ทรงนี้อาจทำให้เกิดขนคุดได้ เพราะการทำทรงนี้ บางครั้งต้องแว็กซ์ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเติบโตของขน

 

ฮอลลีวูดแว็กซ์ คืออะไร

 

มาถึงการแว็กซ์บิกินี่แบบสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ Hollywood Wax หรือ ฮอลลิวูดแว็กซ์ นั่นเอง! จากการไต่ลำดับมา สาวๆ น่าจะเดาได้ ว่าฮอลลิวูดแว็กซ์ เป็นการแว็กซ์ที่กำจัดขนที่ลับอย่างหมดจด! ทั้ง หน้า กลาง หลัง! ครบทั้ง V.I.O ไม่เหลือขนน้องจุ๋มจิ๋มแม้แต่เส้นเดียว

เหมาะสำหรับ : สาวๆ ที่ต้องการแว็กซ์ขนให้หมดทุกเส้น ยันเส้นสุดท้าย! แต่ไม่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่เริ่มแว็กซ์ครั้งแรก  เพราะจะได้เจ็บซี้ดจนร้องไห้แน่นอน

 

เพื่อนๆ อาจจะรู้สึกว่า เอ้ะ! ถ้าเราไม่ได้จะใส่ชุดว่ายน้ำเซ็กซี่ไปเที่ยวที่ไหน อย่างงี้เราก็ไม่ต้องทำบีกีนี่แว็กซ์ก็ได้นี่นา แต่สาวๆ รู้ไหมคะว่า บริเวณจุดซ่อนเร้นของเรานั้น ถ้าปล่อยให้รุงรัง ไม่ดูแลรักษาให้ดี อาจเกิดการหมักหมมและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียได้ ดังนั้นสาวๆ ควรทำความสะอาดบริเวณน้องสาวอย่างเดียวไม่พอ ควรหมั่นกำจัดขนบริเวณนั้นออกบ้างไม่มากก็น้อย

 

ฮอลลีวูด แว็กซ์ (Hollywood Wax) นี้ ดาราฮอลลีวูดเค้าฮิตกัน  (มิน่าถึงตั้งชื่อนี้) ส่วนคำจำกัดความสั้นๆ ของมันคือ “เนียนใส ไร้ขน” รับรองว่าเป็นที่ถูกใจนัก สำหรับผู้ชื่นชอบความเกลี้ยงเกลา ดูราวกับ ย้อนวัยไปเป็นเด็กอีกสักรอบ

 

ฮอลลีวูด แว็กซ์ (Hollywood Wax) เขากำจัดขนทั้งด้านหน้าและด้านหลังออกจนเรียบ ไม่เหลือไว้สักกระจุก จึงให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง แถมดูแลความสะอาดได้ง่ายอีกด้วยคุณสมบัติเด่นหลายข้ออย่างนี้เอง ถึงกลายเป็นทรงฮิตอันดับหนึ่งไปเลย

 

ฮอลลีวูด แว็กซ์ (Hollywood Wax)

ได้ชื่อมาจากความนิยมของดาราสาวฮอลลีวู้ด ที่นิยมแวกซ์ขนน้องสาวให้เกลี้ยงเกลาเหมือนเด็กทารก หรือมีชื่อเรียกอีกแบบหนึ่งว่า Sphinx Waxing เพราะได้มาจากชื่อแมวพันธ์ Sphinx แมวพันธ์ไร้ขน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแคนาดา

 

ผู้หญิงที่นิยมมาแวกซ์ โดยเฉพาะ แวกซ์แบบ Hollywood wax นั้น ส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 17 ปี จนถึง 50 ปี แม้แต่คนท้องใกล้คลอดก็มาแวกซ์ ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัว และทำความสะอาดง่าย เวลามีประจำเดือนก็ไม่รู้สึกสกปรก ไม่อับ บางคนอาจจะรู้สึกเขินอายในตอนแรก แต่พอได้ ลองทำแล้วจะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา และกล้าที่จะมาทำในครั้งต่อๆไป

 

คุณลูกค้ามั่นใจได้ในบริการของเรา Wax & co.pure skin เพราะเราคือร้านแว็กซ์ขนบิกินี่ ฮอลลีวูดแว็กซ์ บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ แว๊กขนที่ลับมืออาชีพ มีบริการแว๊กซ์กำจัดขน บริการแว็กซ์ขน 

 

แว๊กขน กำจัดขน Wax & co.pure skin เราเชี่ยวชาญวิธีแว๊กขน บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ฮอลลีวูดแว็กซ์ พร้อมบริการแบบครบวงจร

 

ฮอลลีวูดแว็กซ์ เหมาะกับใคร

 

แว็กซ์กำจัดขนเอาออกให้หมดเลยนะนั่นเอง ไม่ต้องคิดมากว่าจะแต่งทรงอะไร เพราะอยากที่จะเอาออกหมดเลยมากกว่า แค่เบื่อก็ไว้ยาวใหม่มาจัดทรงรอบหน้าได้สบายมาก ขนไม่เหลือไม่ต้องต้องกังวลใดๆ เข้าหมดทุกชุดแน่นอน 

 

ไม่ใช่แค่เพียง ผู้หญิงที่ทำ พบว่าผู้ชายก็มีความสนใจในการทำเหมือนกัน ย้ำกว่า ผู้ชายจริงๆ นะ เดาเหตุผลที่ทำกันว่า เพราะ ผู้ชายต้องการใส่ บีกินี่ ให้สวยงามเช่น ผู้หญิง เหมือนกัน

 

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนทำ ฮอลลีวูด แว็กซ์ (Hollywood Wax)

 

1.ควรไว้ขนให้ยาวประมาณ 2 ซม.ขึ้นไป  (เคสของแป้งคือน้องเพิ่งขึ้น ยาวไม่ถึง 0.75 ซม.ไม่พอจับตัวกับแว็กซ์ จึงทำให้แว็กซ์ออกมาได้ไม่เนียน) 

 

2.ไม่ควรโกนหรือกำจัดขนโดยวิธีอื่นๆมาก่อนช่วงใกล้ถึงวันนัดหมาย 

 

3.แพลนวันนัดก่อนช่วงเป็นประจำเดือนอย่างน้อย 3-7 วัน 

 

4.แนะนำให้ใส่ชุด/ชุดชั้นใน ที่สบายๆ ไม่รัด ไม่ฟิต เพื่อความสบายผิวหลังแว็กซ์น้า 

 

 

สิ่งที่ควรรู้ หลังทำฮอลลีวูด แว็กซ์ (Hollywood Wax)

 

1.งดมีเพศสัมพันธ์ 1 วัน

2.งดการเสียดสี ไม่ใส่ชุดรัดๆ เช่นชุดออกกำลังกาย 2 วัน

3.งดใช้สบู่ล้างน้องทุกชนิด เพราะจะทำให้น้องระคายเคืองได้  ให้ล้างด้วยน้ำเปล่าก่อนประมาณ 2 วัน 

4.งดออกกำลังกาย 

5.หลังจากทำ 3 วันขึ้นไปแล้ว สามารถลงสระน้ำ ลงทะเลหรือเข้าซาวน่าได้ 

 

การดูแลเมื่อขนขึ้น

1.ช่วงขนกำลังจะขึ้นใหม่ (ประมาณ 1 อาทิตย์ขึ้นไป) ให้สครับวนย้อนรูขุมขนเบาๆ 

2.หลังอาบน้ำ ให้ทาโลชั่นบำรุงผิวบริเวณเนินน้อง จะช่วยให้น้องนุ่มชุ่มชื้น ไม่มีปัญหาขนคุด 

 

บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ และ ฮอลลีวูดแว็กซ์ ต่างกันอย่างไร

แว็กซ์ฮอลลีวูด (Hollywood Wax) และแว็กซ์บราซิลเลี่ยน (Brazilian Wax) ถึงแม้ว่า 2 บริการนี้จะดูคล้ายกันแต่ก็มีจุดที่แตกต่างกัน นั่นก็คือ บราซิลเลี่ยน จะมีทรง Landing Strip  ทรง Bermuda Triangle   Desert Island  ทรง Love Heart แต่ ฮอลลีวูด จะเป็นการเอาขนออกให้หมดนั่นเอง

 

สรุปแล้วแว็กซ์ทั้ง 2 นี้ก็ถือเป็นบริการแว็กซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็ยังมีสไตล์และความแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นกัน ซึ่งการตัดสินใจเลือกแว็กซ์รูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลหรือความต้องการของรูปลักษณ์ที่คุณจะมั่นใจมากยิ่งขึ้น

 

วิธีการเลือกชั้นวางสินค้า rack ให้เหมาะกับการใช้งาน

 

ชั้นวางสินค้า rack ชั้นวางสินค้าแบบไหนก็เหมือนๆกัน ถือเป็นความเชื่อผิดๆ ที่หลายคนคิด จริงๆแล้วชั้นวางของมีหลากหลายประเภท ทั้งขนาด รูปร่าง การรองรับน้ำหนักต่างๆ วันนี้ทาง rack-need มีความรู้เรื่องชั้นวาง rack คืออะไร ??  และวิธีการเลือก ชั้นวางสินค้า rack มาฝากกันค่ะ

 

ชั้นวางของ Rack คือ ชั้นวางสำหรับสต็อกสินค้า ที่มีความแข็งแรงทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก ส่วนใหญ่จะใช้ในคลังสินค้า, โกดัง, ใช้เป็นชั้นวางของหนัก หรือชั้นเก็บของ

 

วิธีการเลือกชั้นวางสินค้า rack

 

  • เริ่มต้นทำความรู้จักชั้นวางสินค้าแบบต่างๆ การที่คุณทำความรู้จักชั้นวางประเภทต่างๆ จะทำให้คุณรู้ว่าควรลงทุนในชั้นวางแบบไหน ที่จะตอบโจทย์ร้านค้าของคุณมากที่สุด

 

  • เลือกขนาดชั้นวางสินค้าที่ใช่ การเลือกขนาดเชลฟ์ที่พอดี และเหมาะสมกับร้านค้าของคุณ คุณจะต้องรู้ขนาดพื้นที่ของร้านแบบละเอียด จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบการจัดวางร้าน และใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

 

  • การรับน้ำหนักของชั้นวางสินค้า ทำการศึกษาการรองรับน้ำหนักของชั้นวาง ว่าสินค้าของเราต้องใช้ชั้นวางรูปแบบไหน ถึงเหมาะสม และเพื่อป้องกันการใช้งานที่ผิดจุดประสงค์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านชั้นวางสินค้า ที่สามารถวางแผน จัดการปัญหาทุกอย่างได้ และมีบริการหลังการขายที่ดี พร้อมช่วยเหลือคุณ ทาง rack-need มีรูปสินค้าให้เลือกหลากหลายแบบ

 

เลือกซื้อ ชั้นวางสินค้า rack-need ดีกว่าอย่างไร??

 

  • มีประเภทชั้นวางสินค้าให้เลือกเยอะ แบบครบครัน หลากสี หลายขนาด ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • ชั้นวางของผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง พร้อมเคลือบผิวเพื่อป้องกันการเกิดสนิม ใช้งานได้ทนทาน ยาวนาน รับน้ำหนักสูงสุด 200 กิโลกรัม

 

  • มีสต๊อกสินค้าเยอะ มีชั้นวางขายของจำนวนมาก มั่นใจได้เลยว่าสั่งชั้นวางขายของเข้ามาตอนไหนก็มีพร้อมให้ตลอด

 

  • มีบริการเก็บเงินปลายทาง พร้อมบริการส่งฟรี ทั่วประเทศไทย ตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนชำระเงินได้เลย

 

  • มีรีวิวการใช้งาน Rack วางของจากลูกค้าที่ซื้อและใช้งานจริง ทั้งการใช้ในที่อยู่อาศัย ร้านค้า ออฟฟิศ โกดัง

 

  • ราคาถูกสุด คุ้มค่าด้วยการเป็น ชั้นเหล็ก ราคาโรงงาน คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ถูกที่สุดในประเทศไทย

 

  • มีโปรโมชั่นสุดพิเศษ คอยอัพเดตให้กับลูกค้าอยู่เสมอ คอยเช็คกันไว้เลย ของดีราคาถูกมีอยู่จริงที่ rack-need

 

rack-need คัดสรรเฉพาะ ชั้นวางสินค้า | ขั้นวางขายของ | ชั้นเหล็ก  | Rack วางของ | ชั้นวางของชำ ที่มีคุณภาพดีมาจัดเก็บเอาไว้ในสต๊อกเท่านั้น พร้อมจัดจำหน่ายในราคาโรงงาน ต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไป ใช้งานได้ยาวนาน มีบริการส่งฟรี พร้อมจัดเก็บเงินปลายทาง การันตีจากผู้ใช้งานจริง

 

หากท่านสนใจสามารถติดต่อตามช่องทางของเราเพื่อพูดคุย ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงานได้ทันที ยินดีอย่างยิ่งที่คิดถึงสินค้าของ rack-need ชั้นวางสินค้า , ชั้นวางขายของ Rack , ชั้นวางของชำ ราคาถูก มาตรฐานสากล

 

หากต้องการชั้นวางสินค้า | ชั้นวางขายของ | ชั้นเหล็ก Rack | วางขายของ หรือ ชั้นวางของชำ คลิกเข้ามาที่นี่ rack-need เรามีสินค้าคุณภาพดีพร้อมส่งต่อความคุ้มค่าให้กับลูกค้าทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ตั้งวางสิ่งของต่างๆ ภายในบ้าน ที่อยู่อาศัย หรือใช้เพื่อวางสินค้าสำหรับขายออนไลน์ ขายในตลาดนัด วางของในออฟฟิศ โกดัง โรงงาน และประโยชน์อีกหลากหลาย เราคัดสรรสิ่งดีที่สุดเท่านั้น พิเศษ!!! ด้วยบริการเก็บเงินปลายทาง เพิ่มความมั่นใจ ส่งถึงมือ 100%

 

ชั้นวางสินค้า ชั้นเหล็ก ของ rack-need มีหลายขนาด 

 

  • ลูกค้าสามารถสอบถาม สี และขนาดได้ 
  • สอบถามสต๊อกสินค้าได้
  • สินค้าพร้อมส่ง ฟรี ทั่วประเทศ มีบริการเก็บเงินปลายทาง ฟรี

 

สินค้าแนะนำของ rack-need

 

 rack-need มีสินค้าในกลุ่มชั้นวางสินค้า Rack วางของ ชั้นเหล็ก ชั้นวางของชำหลากประเภท หลายสไตล์ให้ลูกค้าได้เลือกสรรตามความชอบและการใช้งานของตนเอง เช่น สีเทา สีดำ สีขาว สีน้ำเงิน สีแดงตัดน้ำเงิน หรือถ้าต้องการสีและขนาดใดเพิ่มเติมสามารถสอบถามข้อมูลได้จากพนักงานของเราทันที มากไปกว่านั้นยังสามารถเช็กสต๊อกสินค้าภายในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมส่งถึงมือทันทีเมื่อมีออเดอร์เข้ามา

 

ชั้นวางสินค้า มินิมาร์ท 1 ด้าน 1 ช่อง : 90x35x150 CM 1,690.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า มินิมาร์ท 1 ด้าน 2 ช่อง : 180x35x150 CM  3,090.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า มินิมาร์ท 2 ด้าน 1 ช่อง : 90x75x150 CM  2,690.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า มินิมาร์ท แบบ 2 ด้าน 2 ช่อง 180x75x150 CM  5,090.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 200x60x200m สีดำแดง  2,990.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 200x60x200m สีขาว  2,990.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 200x60x200m สีเหลืองดำ 2,990.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 200x60x200m สีเทาเข้ม สำเนา 2,990.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 200x60x200m สีดำ 2,990.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 150x60x200m สีดำ 2,790.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 150x60x200m สีน้ำเงิน แดง 2,790.00 บาท

 

 

ชั้นวางสินค้า 150x60x200m สีน้ำเงิน 2,790.00 บาท

 

สต๊อกสินค้าของ  rack-need มีโกดังสำหรับจัดเก็บชั้นวางขายของโดยเฉพาะ มีความมิดชิด พร้อมการตรวจสอบสภาพก่อนส่งให้กับลูกค้าทุกครั้ง จึงกล้าการันตีในคุณภาพ ท่านจะได้รับของดีทุกชิ้นพร้อมการรับประกันสินค้า จัดส่งโดยบริษัทขนส่งที่เราไว้วางใจ ไม่ต้องกังวลในเรื่องใดทั้งสิ้น ชั้นวางสินค้า | ชั้นเหล็ก rack | ขาย ชั้นวางสินค้า | ชั้นเหล็ก rack | วางสินค้า rack วางของ ราคาถูก สุดในไทย พร้อมส่ง มีเก็บเงินปลายทาง 

 

มีรีวิวการใช้งาน ชั้นวางสินค้า ชั้นเหล็ก Rack จากลูกค้า

  • สามารถขอรีวิวเพิ่มเติมได้ จาก page FB จากรีวิว rack วางสินค้า รับน้ำหนักได้มาก ชั้นละ 200kg

 

ช่องทางติดต่อ ทางเพจ facebook

หรือ โทรเลย 062 852 0500

 

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา BiaBa

 

 

BiaBa กัญชาเป็นพืชในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศอบอุ่น เช่น เอเชีย, อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง ในประวัติศาสตร์มี รายงานการใช้ประโยชน์จากกัญชายาวนานกว่าสี่พันปี เช่น ใช้เป็นอาหารคนหรือสัตว์ ใช้เป็นสิ่งเสพติดเพื่อการผ่อน คลาย และใช้ทำอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เชือก หรือเสื้อผ้า รวมถึงใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

 

ทาง BiaBa มีกัญชาหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก และมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันกัญชา weed นานาพันธุ์ ให้เลือก ผ่านการคัดกรองอย่างมีคุณภาพสดจากฟาร์ม วันนี้ทาง BiaBa จะแนะนำสายพันธุ์กัญชาไทยที่ได้ผ่านการรับรองในไทยให้กับทุกคนได้รู้จัก และรู้ถึงลักษณะของต้นกัญชาแต่ละพันธุ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

 

กัญชาพันธุ์ไทย ถือเป็น พันธุ์หายากและพบได้มากบริเวณเทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร และบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี คาดว่ากัญชาพันธุ์ที่พบในประเทศไทยน่าจะถูกนำมาจากทางจีนตอนใต้ และมีการนำไปแยกปลูกในต่างพื้นที่ทำให้มีความหลากหลายทั้งลักษณะสัณฐานวิทยา และปริมาณสารสำคัญที่ได้ โดยแต่ละพันธุ์มีลักษณะพิเศษ ซึ่งมีสายพันธุ์ดังต่อไปนี้

 

สายพันธุ์กัญชาที่จดทะเบียนรับรองในไทย ได้แก่

 

1. พันธุ์ตะนาวศรีก้านขาว

มีลักษณะของช่อดอกจำนวนมาก แน่นเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง ลำต้นเป็นทรงพุ่ม มีกลิ่นหอมคล้ายเปลือกส้มผสมตะไคร้

2. พันธุ์ตะนาวศรีก้านแดง

มีลักษณะของช่อดอกที่คล้ายกับพันธุ์ตะนาวศรีก้านขาว แต่จะต่างกันคือมีสีแดงที่กิ่ง ก้าน และใบ ไม่มีกลิ่นฉุน มีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้สุก

3. พันธุ์หางเสือ

มีลักษณะของช่อดอกยาวคล้ายหางเสือตามชื่อ กลิ่นหอมคล้ายเปลือกส้ม และฉุนเล็กน้อย

4. พันธุ์หางกระรอก

สายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ไทยสติ๊ก ได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก เพราะมี สาร THC ที่สูงมาก ประมาณ 20%

 

และทั้งหมดนี้ก็คือสายพันธุ์กัญชาในไทยที่จดทะเบียนรับรองเรียบร้อยแล้ว ทุกส่วนของกัญชาเป็นที่รู้กันว่านำมาสกัดเป็นยารักษาโรคได้ ไม่ว่าจะเป็น  ลำต้น ใบ เมล็ด อย่างไรก็ตามมีข้อสำคัญที่ต้องคำนึง คือ การใช้งาน ต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้เองโดยพละการ มีผู้ดูแลใกล้ชิด และไม่อยู่ระหว่างขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร ทำงานในที่สูง หากพบอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์

 

  • หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก เหงื่อแตก ตัวสั่น
  • หายใจไม่สะดวก อึดอัด
  • เดินเซ พูดไม่ชัด หูแว่ว เห็นภาพหลอน พูดคนเดียว

 

กลุ่มคนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับการใช้กัญชา ได้แก่

 

  • หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า โรคจิตเภท
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ป่วยโรคตับ โรคไตขั้นรุนแรง
  • มีประวัติแพ้สารสกัดกัญชา

 

การเตรียมสารสกัดที่มีปริมาณสารสำคัญสูง และควบคุมคุณภาพสารสกัดให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงด้านพิษวิทยาของ “กัญชา” ทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง เพื่อเป็นข้อมูลส่งเสริมการใช้ “กัญชา” และประเมินความปลอดภัยของ “กัญชา” เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสารสกัด “กัญชา”

 

BiaBa (เบียบ้า) dispensary chiang mai

092 914 7272

10 ความลับที่แผนก HR จะไม่มีทางบอกคุณ

 

รับทำเรซูเม่

 

Human resources (HR) หรือฝ่ายคุคคลเป็นหนึ่งในแกนหลักขององค์กร ที่รับผิดชอบเรื่องการคัดเลือกพนักงาน  การจัดการพนักงานในองค์กร และการควบคุมให้พนักงานอยู่ในกรอบของกฏหมายและกฏขององค์กร แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่แผนก HR อาจเก็บเป็นความลับกับหนักงาน ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

 

1.เราสามารถต่อรองเงินเดือนได้: ฝ่าย HR ไม่อยากให้พนักงานต่อรองเงินเดือน แต่เป็นสิทธิของเราที่จะสามารถเรียกเงินเดือนได้ตามความสามารถและประสบการณ์ ดังนั้นเราควรจะศึกษาและต่อรองเงินเดือนให้เราได้เงินเดือนที่ยุติธรรม

 

2.สวัสดิการก็ต่อรองได้นะ: เช่นเดียวกับเงินเดือน เราสามารถต่อรองเอาสวัสดิการได้เช่นเดียวกัน เช่น ประกันสุขภาพ, วันลาพักร้อน และแผนการเกษียณ อย่าเขินอายที่จะต่อรองเอาสวัสดิการ โดยเฉพาะถ้าเรามีเงื่อนไขพิเศษจากคนอื่นๆ

 

3.ฝ่าย HR ไม่ใช่เพื่อนของเรา: ถึงแม้ฝ่าย HR จะมีหน้าที่คอยช่วยเหลือพนักงานก็จริง แต่หน้าที่ที่สำคัญกว่าของฝ่าย HR ก็คือการรักษาผลประโยชน์ขององค์กร ฝ่าย HR ไม่ได้เข้าข้างคุณเสมอไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความมั่นคงขององค์กร

 

4.ฝ่าย HR เก็บข้อมูลและประวัติอย่างละเอียด: ฝ่าย HR จะเก็บข้อมูลผลงานของพนักงาน เวลาการเข้าและออกงาน และความผิดทางวินัยอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องรู้ข้อมูลของตนเองที่ HR เก็บบันทึกไว้ และแก้ต่างในส่วนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

 

5.นโยบายของ HR อาจจะน่าสับสน: นโยบายต่างๆขององค์กรอาจจะน่าสับสน โดยเฉพาะสำหรับหนักงานใหม่ อย่าลังเลที่จะสอบถามฝ่าย HR เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันกับทุกฝ่าย

 

6.ฝ่าย HR ไม่สามารถเก็บทุกอย่างเป็นความลับ: ฝ่าย HR จำเป็นต้องเก็บข้อมลบางอย่างเป็นความลับก็จริง เช่น ประวัติการรักษาพยาบาล หรือการร้องเรียนเรื่องการคุกคามในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบางอย่างที่ฝ่าย HR ไม่สามารถเก็บเป็นความลับ และจำเป็นต้องชี้แจงด้วย

 

7.HR ไม่สามารถแก้ทุกปัญหาของเราได้: จริงที่ฝ่าย HR มีหน้าที่คอยช่วยเหลือและชี้นำพนักงาน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเราได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง หรือขอควาามช่วยเหลือจากทีมงานและหัวหน้าของตัวเองก่อน

 

8.HR ไม่ได้มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฏหมาย: HR สามารถให้คำแนะนำเรื่องนโยบายและข้อบังคับต่างๆ แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ถ้าต้องการคำปรึกษาด้านกฏหมายเราควรติดต่อทนายความโดยตรง

 

9.HR ไม่สามารถรับรองความมั่นคงทางการงานของเราได้: สถานการณ์เศรษฐกิจ นโยของบริษัทหรือองค์กร หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการงานของพนักงานทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพนักงานใหม่ 

 

10.HR ก็มีอตคิได้: ถึงแม้ว่าองค์กรส่วนใหญ่จะมีนโยบายส่งเสริมความเท่าเทียม ฝ่าย HR ก็ไม่ได้มีความเท่าเทียมเสมอไป เราควรจะเข้าใจว่าฝ่าย HR อาจปฏิบัติกับคนต่างๆไม่เท่าเทียม และหาทางรับมือกับฝ่าย HR ให้ได้

 

สรุปแล้ว ฝ่าย HR มีหน้าที่ช่วยเหลือและคัดเลือกพนักงานก็จริง  มีหลายสิ่งที่ฝ่าย HR จะพยายามเก็บเป็นความลับกับพนักงาน ถ้าทราบ 10 สิ่งนี้ เราก็จะสามารถอยู่ในสังคมการทำงานได้อย่างสบายใจมากขึ้น และมีอำนาจตัดสินใจแนวทางการทำงานของตัวเองได้

 

สั้งทำเรซูเม่หรือเขียนบทความภาษาอังกฤษแอดไลน์ @resume.studio

Facebook: รับทำเรซูเม่ รับเขียนบทความภาษาอังกฤษทุกหัวข้อ การันตีทีมแปลโทอิคคะแนน 990

ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2023 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่าสไตล์

 ข้าวกล่อง สั่งอาหาร อาม่า ในปี 2023 นี้ เราก็ได้เดินทางมาสู่ช่วงครึ่งหลังของปีกันแล้วนะครับ  ในช่วงครึ่งปีแรก…หลาน ๆ หลายคนอาจได้เผชิญกับโมเมนต์ความตึงเครียด ความกังวลต่าง ๆ จนทำให้บางครั้งเกิดความรู้สึกท้อหรือทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าไม่มากก็น้อย  แต่สุดท้ายแล้วผมกับอาม่าก็มีความเชื่อในใจเสมอครับว่า “หลังพายุลูกใหญ่ผ่านพ้นไป เราจะได้พบเจอกับท้องฟ้าและสายรุ้งที่สวยงามแน่นอน” วันนี้ผมกับอาม่าเลยอยากจะเติมพลังบวกดี ๆ ด้วยการมาแชร์ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่า ’s สไตล์ ที่เข้ากับยุค New Normal ในปี 2023 นี้ เป็นทริคเทคแคร์และฮีลตัวเอง ที่สามารถให้ทั้งพลังบวกและให้ทั้งสุขภาพดี ๆ เพื่อเอาไปเป็นเอเนอร์จี้พร้อมสู้กับอีก 6 เดือนหลังของปีนี้กัน…

“จะมีทริคไหนน่าสนใจบ้าง? มาติดตามกันได้เลยครับ” : )

– ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2023 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่า ’s สไตล์  –

ผ่อนคลาย / ไม่เครียด - ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2020 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่าสไตล์

ผ่อนคลาย / ไม่เครียด

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น สิ่งแรกที่เราควรให้ความสำคัญก่อนคือการทำความเข้าใจกับสถานการณ์และเลือกจัดการสิ่งที่เราสามารถ ‘แก้ไขหรือควบคุมได้’ ก่อน เช่น ในยุค New Normal นี้จะออกไปไหนควรอย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยและพกเจลล้างมือทุกครั้ง หรือหากเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกและเกิดหิวขึ้นมา แนะนำให้เลี่ยงการออกไปทานอาหารด้านนอกและเลือกทำเองที่บ้านหรือสั่งเป็นอาหารเดลิเวอรีจากร้านข้าวกล่อง มาทานแทน  แต่สำหรับสิ่งไหนที่เรา ‘ไม่สามารถควบคุมได้’ ก็พยายามอย่าไปกังวลหรือโฟกัสมากเกินไป แต่ให้เลือกหาทางรับมือที่ดีที่สุดเพื่อเตรียมรับมือ เช่น ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีน เราก็เลือกป้องกันดูแลตัวเองด้วยการไม่ไปอยู่ในพื้นที่หรือในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแทน

…หากเรามัวแต่กังวลมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและเกี่ยวข้องไปจนถึงร่างกาย อาจทำให้ไม่สบายเพราะมีความเครียดสะสมจนทำให้มีสุขภาพที่ย่ำแย่ลงได้ครับ…

ออกกำลังกาย / พักผ่อนให้เพียงพอ - ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2020 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่าสไตล์

ออกกำลังกาย / พักผ่อนให้เพียงพอ

เพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ร่างกายเราต้องมีความพร้อม ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและไม่ใช้ร่างกายหักโหม พร้อมทั้งนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งทริคที่ร้านข้าวกล่องอาม่าอยากให้หลาน ๆ ได้เอาไปใช้กันเลยครับ เพราะการออกกำลังกายนั้นให้ประโยชน์หลายอย่างสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘ด้านสุขภาพ’ ที่จะช่วยเสริมภูมิให้แข็งแรง ‘ด้านความงาม’ ที่ช่วยกระชับหุ่นให้ดูดีตลอดเวลาหรือแม้แต่ ‘ด้านจิตใจ’ ที่เมื่อออกกำลังกายแล้วจะมีการหลั่งสารอะดรีนาลีนความสุขให้หายเครียดได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไม่ควรหักโหมมากเกินไปนะคร้าบบบ…อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอกันด้วยครับผม

ติดตามข่าวและโปรโมชั่นเมนูข้าวกล่องจากอาม่า Click!!
ติดตามข่าวและโปรโมชั่นเมนูข้าวกล่องจากอาม่า Click!!
หางานอดิเรกที่ชอบ - ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2020 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่าสไตล์

หางานอดิเรกที่ชอบ 

การหางานอดิเรกที่ชอบหรือหากิจกรรมที่เราสนใจมาทำในช่วงวันหรือในเวลาที่ว่าง ๆ ก็ถือเป็นอีกทริคหนึ่งที่ช่วยเพิ่มพลังบวกและดูแลตัวเองให้มีความสุขทั้งกายและใจได้เช่นกันครับ เพราะการที่เราได้ทำในสิ่งที่ชอบจะสามารถเติมเต็มความสุข สร้างความสบายใจและช่วยตัดความกังวลต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดความเครียดออกไปได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการปลูกต้นไม้ ทำสวน ไปนั่งร้านกาแฟ ออกไปดูหนังหรือแม้แต่นั่งอ่านหนังสือที่ชอบสักเล่ม เพียงเท่านี้ก็จะช่วยส่งผลทำให้มีอารมณ์ดี รู้สึกสดชื่นสดใส ไร้ความเศร้าหมองได้แล้วครับ

เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ - ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ ในยุค 2020 แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่าสไตล์

เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ข้าวกล่อง อาม่า อีกสิ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้สำหรับ ‘ทริคดูแลตัวเองง่าย ๆ แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่า ’s สไตล์ ’ นั่นก็คือ ‘การเลือกทานอาหารที่ดี’ นั่นเองครับ…อาม่าบอกกับผมเสมอครับว่าร่างกายและจิตใจจะแข็งแรงมีความสุขได้ต้องดีมาจากข้างใน ซึ่งการดีมาจากข้างในนั้นนอกจากจะ ‘พยายามไม่เครียด ออกกำลังกายและหางานอดิเรกที่ชอบทำ’ แล้วยังต้องให้ความสำคัญกับการเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์อีกด้วย…ดังนั้นสำหรับการทานข้าวสักมื้อหรือทานข้าวกล่องสักกล่องเราก็ควรเลือกทานให้ครบ 5 หมู่ และเลือกทานอาหารจากร้านอาหารที่ได้สุขอนามัยและถูกหลักโภชนาการ อีกทั้งไม่ลืมที่จะดื่มน้ำเยอะ ๆ พร้อมกับทานผักผลไม้อย่างเป็นประจำด้วยนั่นเองครับผม

ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เพียงแค่เราเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจให้ดีเพื่อเตรียมรับกับการปรับตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุค New Normal ปี 2020 นี้ด้วยการลองนำทริคการดูแลตัวเอง แบบฉบับร้านข้าวกล่องอาม่า ’s สไตล์  ไปลองใช้ดู  ผมกับอาม่าเชื่อว่าสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นได้แน่นอนครับ : )

สำหรับหลาน ๆ ที่เริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศกับแล้วหรือบางคนที่ยังต้อง Work From Home กันอยู่แล้วไม่มีเวลาเตรียมอาหารอร่อย ๆ ทาน อาจจะด้วยความยุ่งกับงาน ไม่สะดวกที่จะออกเดินทางไปทานหรือไปซื้อของมาทำทานที่บ้าน สามารถมาผูกปิ่นโตมื้ออร่อยหรือสั่งอาหารเดลิเวอรีรสชาติฟิน ๆ จากร้านข้าวกล่องอาม่าไปทานกันได้นะคร้าบบบ

รู้สีกหิวท้องร้องแล้ว?? กดแอดไลน์สั่งอาหารเดลิเวอรีกับอาม่าได้เลย!! : )

สั่งอาหารเดลิเวอรีกับอาม่า Click!!
อาม่าลงมือทำเองสุดฝีมือทุกเมนูเพื่อความอร่อยเพื่อสุขภาพดี ๆ ของหลาน ๆ ทุกคนครับผม… #อาม่าจะดูแลเธอเอง

 

อาหารหลัก 5 หมู่ มีอะไรบ้าง? หาได้จากแหล่งอาหารประเภทใด?

ตามหลัก โภชนาการอาหาร มีการแบ่งสารอาหารต่าง ๆ ออกเป็น 5 ประเภท หรือที่เรียกว่า “อาหาร 5 หมู่” ซึ่งเป็นสารอาหาร ที่มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมาประกอบรวมกันแล้ว จะทำให้อวัยวะ ตลอดถึงภูมิคุ้มกันภายในร่างกายทำงานเป็นปกติ สำหรับประเภท และประโยชน์ของอาหาร 5 หมู่ มีดังนี้

อาหารหมู่ที่ 1 : โปรตีน 

ได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ถั่ว สาหร่าย ธัญพืช ฯลฯ ซึ่งโปรตีนที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ช่วยการเจริญเติบโตของร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอ ประโยชน์ของโปรตีน
  • ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย มีภูมิต้านทานโรค
  • ช่วยเสริมสร้างใยคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และเชื่อมสมานเซลล์ให้ยึดติดกัน
  • ควบคุมการทำงานของร่างกาย ทำให้เนื้อเยื่อ เซลล์ และระบบภูมิคุ้มกันสมดุล
สำหรับคนทั่วไป ควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และคนออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 2-3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
 

อาหารหมู่ที่ 2 : คาร์โบไฮเดรต

ด้แก่ อาหาร ประเภทแป้ง ข้าวชนิดต่าง ๆ เผือก มัน น้ำตาล ขนมปัง ฯลฯ เป็นแหล่งพลังงานหลักของระบบประสาท และสมอง เมื่อร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตจะแบ่งเป็นน้ำตาลขนาดเล็ก คือ กลูโคส และฟรุกโตสที่ลำไส้เล็ก สามารถดูดซึมไปใช้ได้ ซึ่งจะเข้าสู่กระแสเลือดไปยังตับ ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลทั้งหมดเป็นกลูโคส ซึ่งไหลผ่านกระแสเลือด พร้อมกับอินซูลิน และแปลงเป็นพลังงานสำหรับการทำงานของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรต
  • ให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้เรามีเรี่ยวแรงในการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
  • ให้ความอบอุ่น และช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย
  • ช่วยให้สมองดึงกลูโคสมากระตุ้นทำงานอย่างสมดุล ทำให้อารมณ์ไม่แปรปรวนง่าย
สำหรับคนทั่วไป ควรได้รับคาร์โบไฮเดรต 3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และคนออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 2-3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
 

อาหารหมู่ที่ 3 : เกลือแร่

ได้แก่ แร่ธาตุ รวมถึงพืชผัก ผักใบเขียว กากใย และผักที่มีผลสีต่าง ๆ ฯลฯ ประโยชน์ของเกลือแร่
  • ทำให้ผิวพรรณสดใส ลำไส้ทำงานได้ตามปกติ ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย
  • สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค และทำให้อวัยวะร่างกายทำงานปกติ
  • ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และฟันให้แข็งแรง
 

อาหารหมู่ที่ 4 : วิตามิน

ได้แก่ ผลไม้จากธรรมชาติชนิดต่าง ๆ ประโยชน์ของวิตามิน 
  • ใยอาหารจากผลไม้ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย และการย่อยอาหาร
  • บำรุงผิวหนัง สุขภาพเหงือก และฟันให้แข็งแรง
  • ทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน ไม่เจ็บป่วยบ่อย

 

อาหารหมู่ที่ 5 : ไขมัน

ได้แก่ ไขมันจากพืช และสัตว์ เนย มาการีน ฯลฯ ประโยชน์ของไขมัน 
  • ป้องกันไม่ให้อวัยวะภายในร่างกายบาดเจ็บ
  • ให้พลังงาน และมอบความอบอุ่น ทำให้ร่างกาย ดึงพลังงานมาใช้ในยามจำเป็น
  • ทำหน้าที่ช่วยดูดซึมวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน เพื่อนำไปเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย
 

การทานอาหารหลัก 5 หมู่มีความจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่?

การทานอาหารหลัก 5 หมู่นั้น มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันจึงควรบริโภคเมนูอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน หากกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่เป็นประจำ ทำพฤติกรรมเช่นนี้ติดต่อกันนาน ๆ ก็จะทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ ผิวพรรณไม่สดใส ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและโรคต่าง ๆ ได้

 

Tattoo shop by LEGACY TATTOO STUDIO

Tattoo shop by LEGACY TATTOO STUDIO

 

Tattoo studios have become increasingly popular in Thailand over the years, with many tourists and locals choosing to get inked while visiting the country. In this article, we will provide an in-depth explanation of the tattoo industry in Thailand, including the history of tattooing in the country, the current state of the industry, and what you can expect when visiting a tattoo studio in Thailand.

 

History of Tattooing in Thailand

Tattooing has a long history in Thailand, with evidence of the practice dating back thousands of years. The ancient Thai people used tattoos for both spiritual and decorative purposes, with many people believing that tattoos had the power to ward off evil spirits or to bring good luck. Over time, the practice of tattooing evolved and became more popular, with many people getting tattoos to commemorate important events or to express their individuality.

 

In the past, tattoos in Thailand were typically done using traditional methods, such as hand-tapping or bamboo needle techniques. These techniques were passed down from generation to generation and were often used to create intricate and detailed designs. Today, many tattoo studios in Thailand still use these traditional techniques, but modern technology has also allowed for the use of electric tattoo machines, which are more efficient and allow for a wider range of designs to be created.

 

The Current State of the Tattoo Industry in Thailand

The tattoo industry in Thailand has seen significant growth in recent years, with many people choosing to get inked while visiting the country. Bangkok, in particular, has become a hub for the tattoo industry, with many top-rated tattoo studios located in the city. The popularity of tattooing in Thailand can be attributed to several factors, including the high quality of work produced by local artists, the affordability of getting a tattoo compared to other countries, and the wide range of designs available.

 

When visiting a tattoo studio in Thailand, you can expect to find a clean and professional environment. Most studios use single-use needles and other sterile equipment to ensure the safety of their clients. Many tattoo artists in Thailand are highly skilled and have years of experience, and they are able to create a wide range of designs, from traditional Thai tattoos to more modern and abstract designs.

 

What to Expect When Visiting a Tattoo Studio in Thailand

When visiting a tattoo studio in Thailand, the first step is to choose a design that you like. Most studios will have a portfolio of designs for you to choose from, and many artists are also able to create custom designs based on your preferences. If you’re unsure about what you want, many studios offer a consultation service, where you can discuss your ideas with the artist and get their advice on what would work best for you.

Once you’ve chosen your design, the next step is to discuss the details of the tattoo with the artist. This includes the size, placement, and color of the tattoo. It’s important to have open communication with the artist to ensure that you’re both on the same page and that the end result is exactly what you’re looking for.

 

Before the tattoo process begins, the artist will clean the area where the tattoo will be placed and apply a stencil to the skin. This stencil is used as a guide for the artist to ensure that the tattoo is placed correctly. The actual tattooing process typically takes anywhere from 30 minutes to several hours, depending on the size and complexity of the design. During the process, the artist will use a needle to inject ink into the skin, creating the design.

 

After the tattoo is complete, the artist will clean the area and apply aftercare instructions to help you take care of the tattoo and ensure that it heals properly. These instructions typically include information on how to clean the tattoo, how to prevent infection, and how to keep the area moisturized. It’s important to follow these instructions carefully to ensure that your tattoo heals properly and looks its best.

 

When it comes to pricing, tattoo studios in Thailand are generally more affordable than in other countries. The cost of a tattoo will vary depending on the size, complexity, and location of the studio, but you can expect to pay anywhere from a few hundred to several thousand Thai Baht for a medium-sized tattoo. It’s always a good idea to ask about the pricing beforehand and to agree on a price before getting the tattoo.

 

In conclusion, the tattoo industry in Thailand has seen significant growth in recent years, and the country is now home to many talented and experienced tattoo artists. Whether you’re looking for a traditional Thai tattoo or a more modern design, you can expect to find high-quality work at a reasonable price when visiting a tattoo studio in Thailand. Just remember to choose your design carefully, communicate openly with the artist, and follow the aftercare instructions to ensure that your tattoo heals properly and looks its best.

 

Additionally, it’s important to do your research before choosing a tattoo studio in Thailand. Look for reviews and recommendations from previous clients, and make sure that the studio has a good reputation for cleanliness and safety. You should also check to see if the studio is licensed and if the artists are trained and experienced. Choosing a reputable studio and artist is the best way to ensure that you get the tattoo you want and that you have a positive experience overall.

 

One other thing to keep in mind is that tattoos are a permanent form of body art, so it’s important to consider the design carefully and make sure that you’re comfortable with it for the long term. Don’t be afraid to take your time and think about the design before making a final decision.

 

In conclusion, if you’re considering getting a tattoo while in Thailand, you can expect to find a wide range of high-quality studios and artists offering a variety of designs at affordable prices. Just be sure to do your research, choose a reputable studio and artist, and follow the aftercare instructions to ensure that you have a positive experience and that your tattoo heals properly and looks its best.

 

 Finally, it’s also important to be aware of the cultural and social attitudes towards tattoos in Thailand. While tattooing is becoming more accepted in the country, it’s still considered taboo by some people, especially in more traditional or conservative communities. Keep this in mind when choosing the placement of your tattoo, as some areas of the body may be more visible than others. Additionally, be respectful of local customs and traditions, especially if you’re traveling to rural or remote areas of Thailand.

 

In conclusion, getting a tattoo in Thailand can be a unique and memorable experience, offering the opportunity to choose from a wide range of designs and artists at affordable prices. However, it’s important to do your research, choose a reputable studio and artist, and be mindful of cultural attitudes and aftercare instructions to ensure that you have a positive experience and that your tattoo heals properly and looks its best. Whether you’re a local or a tourist, getting a tattoo in Thailand can be a great way to commemorate your travels and express your individuality.

 

 

 

 

ขั้นตอนการทำใบประกอบวิชาชีพพยาบาลในสหรัฐอเมริกา

 

 

รับเขียนบทความ seo การสอบเพื่อทำใบประกอบวิชาชีพพยาบาลอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับใครหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม หากมีการวางแผนและเตรียมพร้อมมาอย่างดี ทุกคนก็สามารถพิชิตความฝันในการเป็นพยาบาลในสหรัฐอเมริกาได้ รับเขียนบทความ seo

 

 

โดยขั้นตอนเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพดังกล่าวมีดังนี้

 

ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ ในการรับประกอบวิชาชีพ แต่ละรัฐจะมีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไป จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อกำหนดอย่างละเอียด ทุกคนสามารถดูรายละเอียดข้อมูลได้ที่สภาพยาบาลแห่งชาติสหรัฐ (National Council of State Boards of Nursing)

เอกสารด้านการศึกษานั้นต้องผ่านการประเมินจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากสภาพยาบาลของรัฐ เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของรัฐนั้นๆผ่านการสอบและได้รับใบอนุญาตจากสภาแห่งชาติ (NCLEX-RN) ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นสำหรับการเป็นพยาบาล

ข้อกำหนดเพิ่มเติม บางรัฐจะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวใบประกอบวิชาชีพ ตัวอย่างเช่นผลการสอบวัดระดับภาษา หรือ ผลการศึกษาด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ผู้สมัครควรทบทวนข้อกำหนดในรัฐที่ต้องการสมัครก่อนทำเรื่องรับใบประกอบวิชาชีพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะผ่านข้อกำหนดดังกล่าว

การทำเรื่องสมัครเพื่อรับใบประกอบวิชาชีพ เมื่อผ่านข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว ผู้สมัครสามารถทำเรื่องสมัครผ่านสภาพยาบาลของรัฐได้  โดยทั่วไปจะมีขั้นตอนในการกรอกเอกสาร การชำระค่าธรรมเนียม และการยื่นใบรับรองผลการศึกษาและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

วีซ่าทำงาน นอกจากได้ใบประกอบวิชาชีพแล้ว ผู้สมัครจำเป็นต้องได้วีซ่าทำงานของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยจะต้องได้รับจดหมายเชิญจากนายจ้างในสหรัฐอเมริกาก่อนทำเรื่องยื่นวีซ่าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือ กระบวนการทั้งหมดนี้อาจใช้เวลา ความพยายาม และทรัพยากรมากพอสมควร อย่างไรก็ตามหากมีการเตรียมตัวที่ดีและวางแผนอย่างรอบคอบ ความฝันในการเป็นพยาบาลในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

เอกสารที่ต้องเตรียมเมื่อสมัครงานในสาขาวิชาชีพพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

ในการสมัครเป็นพยาบาลในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ มากมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับเข้าทำงาน ซึ่งจะมีขั้นตอนและเอกสารที่ต้องเตรียมทั้งหมดดังนี้

 

ใบประกอบวิชาชีพพยาบาล – ผู้สมัครจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพของรัฐนั้นๆ โดยแต่ละรัฐจะมีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไป เบื้องต้นแล้วผู้สมัครจะต้องผ่านการตรวจสอบใบอนุญาตของสภาแห่งชาติ (NCLEX-RN) และข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสมัคร

 

ใบรับรองผลการศึกษา – ผู้สมัครจะต้องมีใบรับรองผลการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องและต้องผ่านการเกณฑ์ประเมินตามมาตราฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา

 

เอกสารรับรองการทำงาน – ผู้สมัครจะต้องแสดงประสบการณ์การทำงานด้านพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นในรูปของจดหมาย ใบรับรอง หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากนายจ้าง นอกจากนี้ ประสบการณ์ทำงานกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติก็จำเป็นเช่นกัน

 

เอกสารวีซ่า – ผู้สมัครจะต้องมีวีซ่าทำงานในสหรัฐอเมริกา สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลจะเป็นวีซ่า H-1B ซึ่งมีนายจ้างเป็นผู้สปอนเซอร์

 

ผลทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ – ในการทำงานที่สหรัฐอเมริกาจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จึงต้องมีการวัดระดับภาษาอังกฤษของผู้สมัคร ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้ผลสอบ TOEFL หรือ IELTS เพื่อยื่นเป็นหลักฐาน

 

เรซูเม่และจดหมายสมัครงาน – ทำเรซูเม่ ในการเขียนเรซูเม่และจดหมายสมัครงานนั้น จะเน้นไปที่ประสบการณ์การทำงานและวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประสบการณ์การทำงานกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ

 

บุคคลอ้างอิง – ผู้สมัครจะต้องมีจดหมายอ้างอิงจากนายจ้างหรือคนในองกรณ์เดิมที่เคยทำงานด้วยกันเพื่อเป็นการรับรองในด้านทักษะวิชาชีพพยาบาล

 

เตรียมตัวสัมภาษณ์ – เมื่อถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน จะต้องมีการเตรียมตัวอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทำงานและตำแหน่งที่ต้องการสมัคร ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์ทั่วไป และเตรียมตัวแสดงความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาล

 

สรุปแล้ว ในการสมัครเข้าทำงานในสาขาวิชาชีพพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะต้องมีการวางแผนและการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมใบประกอบวิชาชีพ เอกสารวีซ่า เอกสารการทำงาน เรซูเม่และจดหมายสมัครงานที่เป็นมืออาชีพเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสสำเร็จในการได้รับเข้าทำงาน หากมีการเตรียมตัวที่ดี ความฝันที่จะเป็นพยาบาลในประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

สั้งทำเรซูเม่หรือเขียนบทความภาษาอังกฤษแอดไลน์ @resume.studio

Facebook:รับทำเรซูเม่ รับเขียนบทความภาษาอังกฤษทุกหัวข้อ การันตีทีมแปลโทอิคคะแนน 990

 

savecyber.com

เทรด exness ดีไหม

 

exness ดีไหม

 

Exness เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ Forex ที่มีชื่อเสียงและนิยมใช้กันมากทั่วโลก แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกเทรดกับ Exness ควรพิจารณาด้านต่าง ๆ ดังนี้:

 

1.ความน่าเชื่อถือ: Exness ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) และ FCA (Financial Conduct Authority) ของสหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของ Exness

 

2.เทคโนโลยีและเครื่องมือการเทรด: Exness มีเครื่องมือการเทรดที่ทันสมัยและให้บริการที่ครอบคลุม มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อขั้นสูง เช่น MetaTrader 4, MetaTrader 5 และ Exness Web Terminal

 

3.ค่าธรรมเนียมและสเปรด: ค่าธรรมเนียมการเทรดใน Exness อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ มีสเปรดต่ำ และไม่มีค่าคอมมิชชั่นในบางประเภทของบัญชี

 

4.การฝาก-ถอนเงิน: Exness ให้บริการฝาก-ถอนเงินด้วยวิธีการหลากหลาย เช่น บัตรเครดิต, บัญชีธนาคาร, ระบบการชำระเงินออนไลน์ และอื่น ๆ

 

5.ภาษาที่รองรับ: Exness รองรับภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทย ซึ่งทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของ Exness ได้ง่ายขึ้น

 

ดังนั้น Exness เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นการเทรด Forex หรือมือใหม่ในการลงทุน แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นการเทรด ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและความรู้ในการลงทุนด้วย เช่น วิธีการวิเคราะห์ตัวเลขทางเศรษฐกิจและการเรียนรู้เกี่ยวกับกราฟ หรือสัญญาณการเทรด

 

นอกจากนี้ Exness ยังมีบริการที่น่าสนใจอื่น ๆ ดังนี้:

 

1.ศูนย์การเรียนรู้: Exness มีศูนย์การเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและบทเรียนเกี่ยวกับการลงทุนในตลาด Forex ที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรดและสามารถปรับปรุงทักษะการลงทุนของคุณได้

 

2.บริการลูกค้า: ทีมงานของ Exness สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทย พวกเขายินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์ม และสามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีการเทรดของคุณ

 

3.โปรโมชันและโบนัส: Exness มีโปรโมชันและโบนัสต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น โบนัสเงินฝาก, โบนัสแรกเข้า, และโปรแกรมความนิยมของพันธมิตร ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรดของคุณได้

 

คำเตือน: การลงทุนในตลาด Forex มีความเสี่ยงสูง จึงควรให้ความสำคัญในการศึกษาและวางแผนการลงทุนให้รอบคอบ หากคุณยังไม่มีประสบการณ์ในการเทรด ควรใช้บัญชีเทรดทดลอง (demo account) เพื่อทดลองเทรดและฝึกทักษะการเทรดก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่  exness ดีไหม

 

ที่นี่เราได้กล่าวถึงข้อดีของ Exness แต่คุณควรระวังข้อเสียและความเสี่ยงในการเทรด Forex ด้วย:

 

1.ความเสี่ยงที่สูง: การเทรด Forex มีความเสี่ยงที่สูง คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ จึงควรลงทุนเพียงเงินที่คุณสามารถสูญเสียได้

 

2.ความยุ่งยากในการควบคุมความเสี่ยง: การควบคุมความเสี่ยงและการจัดการเงินในการเทรด Forex สำคัญมาก ควรใช้เครื่องมือในการจัดการความเสี่ยง เช่น stop loss และ take profit เพื่อลดความเสี่ยงในการเทรด

 

3.ความต้องการเวลาและความใส่ใจ: การเทรด Forex ต้องการเวลาและความใส่ใจในการติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ตัวเลข และการตัดสินใจในการเทรด ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์

 

4.สภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน: ตลาด Forex เป็นตลาดที่ผันผวนและไม่แน่นอน การวิเคราะห์และการทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดอาจยากและไม่แม่นยำตลอดเวลา ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ตลาดและปรับปรุงทักษะการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง

 

5.อารมณ์และจิตวิญญาณ: การเทรด Forex อาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์และจิตวิญญาณของคุณ ควรเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ในการเทรด เพื่อลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากอารมณ์

 

6.ความคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้อื่น: การเทรด Forex อาจเกี่ยวข้องกับความคิดเห็นและคำแนะนำของผู้อื่น ควรระมัดระวังในการเชื่อถือคำแนะนำจากผู้อื่น และวิจารณ์ข้อมูลที่ได้รับอย่างรอบคอบ

 

ข้อควรระวังเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คุณพิจารณาและปรับปรุงทักษะการเทรดของคุณ การเทรด Forex สามารถนำไปสู่กำไรและความสำเร็จในการลงทุน หากคุณมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนั้นควรใช้เวลาในการศึกษาและเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

Exness เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเทรด Forex แต่ควรคำนึงถึงความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดอย่างรอบคอบ การเลือกโบรกเกอร์เทรดควรพิจารณาจากหลายด้าน อาทิ ความน่าเชื่อถือ, ค่าธรรมเนียม, เทคโนโลยี, การฝาก-ถอนเงิน และการสนับสนุนภาษา โดยควรเปรียบเทียบ Exness กับโบรกเกอร์ Forex คู่แข่งในตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายการลงทุนของคุณ

 

เราขอให้โชคดีในการเทรด Forex และหวังว่าคำแนะนำข้างต้นจะเป็นประโยชน์ในการเลือกโบรกเกอร์เพื่อเริ่มต้นการลงทุน อย่าลืมว่า การศึกษาและการฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรด Forex และควรเสียสละเวลาในการเรียนรู้และปรับปรุงทักษะการเทรดอย่างสม่ำเสมอ