โช้ครถยนต์ profender

 

โช้ค profender  เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก เพราะโช้คอัพจะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เและยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยรองรับแรงกระแทกของตัวถังรถ ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ ทั้งยังช่วยหน่วงน้ำหนักในการเคลื่อนที่ขึ้น-ลงให้กับรถยนต์ทั้งคันอีกด้วย ซึ่งหากโช้คอัพของรถยนต์เสีย จะทำให้การขับขี่ไม่นุ่มนวล รู้สึกแข็งกระด้างเวลาขับรถผ่านหลุม เนิน หรือลูกระนาด อีกทั้งยังทำให้รถยนต์เสียศูนย์เมื่อใช้ความเร็ว และมีอาการโคลงเคลงเวลาเลี้ยวโค้ง และยังทำให้ควบคุมรถได้ยากด้วย ในวันนี้ทาง Carsome จะพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องโช้คอัพกันให้มากขึ้น รวมไปถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดได้หากโช้คอัพมีปัญหา ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกันดีกว่าค่ะ โช้ค profender

 

profender

โช้ค profender โช้คอัพรถคืออะไร?

โช๊คอัพ (Shock Absorber) เป็นอุปกรณ์ไฮดรอลิคสำคัญที่ช่วยในเรื่องของการรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ ทำให้เวลาขับรถบนหนทางที่ไม่ราบเรียบจะทำให้ขับรถได้นุ่มนวลขึ้น ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ซึ่งการมีโช๊คอัพก็จะช่วยให้การขับรถสะดวกปลอดภัยมากขึ้นและยังช่วยทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อรถสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะรถวิ่ง โดยการควบคุมการยุบและการสั่นของสปริง หรือแหนบและเปลี่ยนการสั่นสะเทือนจากพลังงานกลให้เป็นพลังงานความร้อน ซึ่งการดูแลโช้คอัพเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ หากอยากให้การขับรถราบรื่นไม่มีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อยๆ ค่ะ

 

วิธีตรวจสอบการชำรุดของ “โช้คอัพ” โช้ค profender

-การสังเกตจากสภาพภายนอก เช่นอาจจะสังเกตจากสภาพการสึกของดอกยาง อาการที่รู้สึกได้จากการขับขี่บนท้องถนนที่ทำให้การขับขี่ไม่นิ่มนวล ซึ่งอาการผิดปกติอาจเกิดขึ้นจากโช้คอัพ

-เครื่องทดสอบโช้คอัพ (Shock Tester Machine)

-การขับทดสอบ (Road Test)

– การเทียบกับของใหม่ (Compare with new shock)

 

ตรวจสอบสภาพโช้คอัพเบื้องต้นด้วยตัวเอง

-ทำได้โดยการจอดรถยนต์นิ่งๆ ใช้น้ำหนักร่างกายขย่มลงบนตัวถัง ใกล้กับโช้คอัพตัวที่ต้องการตรวจสอบ ขย่มลงไปสัก 5 ครั้งและปล่อย ถ้าตัวรถต้องขยับขึ้นลงอีก 1-3 ครั้ง แสดงว่าโช้คอัพยังควบคุมความยืดหยุ่นได้ แต่ถ้าตัวรถขยับขึ้นลงมากกว่า 3 ครั้ง แสดงว่าโช้คอัพหมดความหนืด ไม่สามารถควบคุมความยืดหยุ่นได้ เรียกว่าโช้คอัพตาย ไม่สามารถยืดยุบตัวได้ตามปกติ

 

ถ้าโช้คอัพพังจะเกิดอะไรขึ้น?

โช้คอัพนั้นเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่าช่วยให้การขับรถยนต์นั้นราบรื่น นุ่มนวล ไม่มีการกระเด้งขึ้น – ลง ตามแรงเหวี่ยงของถนน ซึ่งถ้าหากโช้คอัพพังนั้นก็อาจจะทำให้รถยนต์นั้นควบคุมได้ยากมากขึ้น ทำให้การขับรถยนต์มีปัญหา และเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากรถยนต์เสียการควบคุมเนื่องจากโช้คอัพมีปัญหา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขับรถเข้าโค้ง รถยนต์จะไม่สามารถทรงตัวได้ดี อีกทั้งยังรวมไปถึงปัญหาน้ำมันรั่วที่ต้องพบเจอบ่อย ๆ เมื่อโช้คอัพมีปัญหาด้วยค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ทางที่ดีควรเลือกใช้โช้คอัพที่มีคุณภาพและควรเปลี่ยนโช้คอัพทุก ๆ 3 ปี หรือสามารถเช็กได้จากระยะทาง โดยเริ่มตั้งแต่ 50,000 – 100,000 กม.ก็สามารถเริ่มพิจารณาถึงการเปลี่ยนโช้คอัพใหม่ได้ หรือสามารถเช็กสภาพการใช้งานของโช้คอัพได้ตั้งแต่ระยะทาง 20,000 กม. ขึ้นไปค่ะ 

 

วิธีดูแลรักษาโช้คอัพ

การดูแลรักษาโช้คอัพเป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้โช้คอัพของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้นแถมยังช่วยถนอมโช้คอัพไม่ให้ชำรุดง่ายอีกด้วย ซึ่งมีวิธีดูแลรักษาโช้คอัพง่าย ๆ ดังนี้

 

ไม่ควรบรรทุกของที่หนักจนรถของเราจะรับไหวหรือหนักจนเกินไป เช่น สัมภาระต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า บางคนคิดว่าเก็บไว้ในรถจะทำให้สะดวกสบาย แต่ของเหล่านี้อาจจะทำให้รถของเราหนักเกินความจำเป็น นอกจากโช๊คอัพจะมีประสิทธิภาพที่ลดน้อยลงแล้วยังทำให้เราเปลืองน้ำมันในการขับรถอีกด้วย เพราะบรรทุกของหนักเกินไปนั่นเอง

 

ในการขับรถกันเราไม่ควรใช้ความเร็วเกินกว่ากำหนด เพราะจะส่งผลให้ช่วงล่างของรถยนต์ของเรานั้นเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว บางคนเจอลูกระนาด เจอหลุม เหยียบคันเร่งผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ผ่อนความเร็วรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดมากๆ ดังนั้นเวลาเจอลูกระนาดเจอหลุมต่างๆเราควรชะลอรถแล้วผ่านไปอย่างนุ่มนวลที่สุดจะช่วยรักษาโช๊คอัพของเราได้ดียิ่งขึ้น

 

หากการเดินทางไปสถานที่ใกล้ๆเราควรเช็คช่วงล่างและยางลมของเราให้ดี ซึ่งการเช็คนั้นก็เช็คได้ง่ายๆ คือเราลองขับถนนเลียบทางตรงจากนั้นก็สังเกตดูว่าพวงมาลัยของเรานั้นตรงหรือไม่ถ้าหากลงแสดงว่ายังดีอยู่แต่ถ้าหากไม่ตรงก็ต้องไปตั้งศูนย์ใหม่ และถ้าหากขับไปแล้วได้ยินเสียงกุกกักต้องรีบไปแก้ไข และในเรื่องของโช๊คอัพ ถ้าจะต้องตรวจคราบน้ำมันที่บริเวณโช๊คของเราว่ามีการรั่วหรือไม่ เพราะระบบเหล่านี้มีผลต่อรถยนต์ของเราอย่างแน่นอน

 

Profender เป็นโช๊คผลิตจากประเทศไทย ที่ส่งออกแล้วทั่วโลก รวมถึงอเมริกา และ ยุโรป ส่วนใหญ่ตัวโช๊คจะเป็นระบบ Monotube ซึ่งจะตอบโจทย์ทั้งความนุ่มและหนึบช่วยลดอาการโคลงเคลง ที่จะชอบมีในรถ Pickup และ PPV ซึ่งโช๊ค Profender มีรุ่นและคุณสมบัติ ดังนี้

✴️Profender Monotube2.0 ปรับระดับนุ่มแข็งไม่ได้ คู่หน้าปรับสูงต่ำได้

✴️Profender Monotube Subtank เป็น Subtank แยก ปรับนุ่มแข็งได้ 8 ระดับ คู่หน้าปรับสูงต่ำได้

✴️Profender Queenseries มี Subtank ในตัว คู่หน้าปรับสูง-ต่ำได้และปรับนุ่มแข็งได้ 16 ระดับมาพร้อมสปริง คู่หลังปรับนุ่มแข็งได้ 8 ระดับ

✴️Profender OEM2.5 เป็น Subtank แยก ปรับนุ่มแข็งได้ 8 ระดับ คู่หน้ามาพร้อมสปริง ปรับสูงต่ำได้ (แต่โหลดเตี้ยกว่า STD ไม่ได้)

 

savecyber.com

โช๊ค Profender

โช๊ค Profender – Profender เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิตโช้คอัพคุณภาพดี สำหรับรถจักรยานยนต์ รถยนต์ทั่วไป หรือแม้แต่โช้คอัพที่ออกแบบมาพิเศษ สำหรับรถกระบะ, รถ SUV, รถแข่ง, รถออฟโรด เป็นต้น ตัวบริษัทมีทีมวิจัยและทีมวิศวกรของตนเอง ทำให้สามารถออกแบบได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ มีการคิดค้นและพัฒนา เฟ้นหานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อออกมาสู่ผู้บริโภคอยู่เสมอ

ประวัติ โช๊ค Profender

  • กิจการ Profender เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2550 เกิดขึ้นจากการที่คุณธงชัยและคุณทาริกา เอี่ยมวัฒนศิลป์ ได้มีการแยกตัวออกมาจากธุรกิจของทางบ้าน เพื่อมาก่อตั้งเป็นบริษัท โพรเฟนเดอร์ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเน้นการผลิตโช้คอัพเกรด กลุ่มพรีเมียม
  • ในปี พ.ศ. 2557 ได้มีการย้ายโรงงานมาอยู่ที่ อำเภอหอมเกร็ด บนเนื้อที่ 10.5 ไร่ เพื่อจะได้สามารถขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น ซึ่งที่นี่สามารถรองรับการผลิตได้ 500,000 ตัวต่อปี
  • ปี พ.ศ. 2558 บริษัทได้รับอนุมัติโครงการจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือที่เรียกว่า BOI ในการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
  • ปี พ.ศ. 2561 ได้มีการขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 10 ไร่ เพื่อสร้างโรงงานเพิ่มเติม สำหรับการรองรับการเจริญเติบโตจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยโรงงานใหม่นี้สามารถรองรับการผลิตได้ 1.5 ล้านตัวต่อปี
  • และในปี พ.ศ. 2564 บริษัทก็กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติม บนเนื้อที่อีก 15 ไร่ เพื่อรองรับการผลิตจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ประเภทของโช๊คอัพ

อะไหล่ต่าง ๆ ภายในรถยนต์นั้น ได้มีการพัฒนา มาโดยตลอด ซึ่งโช๊คอัพ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมา อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ที่ดีและเข้ากับ รถยนต์แต่ละ ประเภท โดยโช๊คอัพ นั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. โช๊คอัพระบบน้ำมัน

เป็นโช๊คอัพที่ทำงาน ด้วยระบบไฮดรอลิค ในขณะที่โช๊คอัพ แบบนี้กำลัง ทำงานนั้น น้ำมันไฮดรอลิค จะถูกนำเข้ามา ผ่านวาล์วลูกสูบ ซึ่งเป็นเพียงการทำให้โช๊คอัพ นั้นหนืดเพียงอย่าง เดียวเท่านั้น โดยข้อเสีย อย่างใหญ่หลวง ของโช๊คอัพแบบ ระบบน้ำมันนั่นคือ เมื่อน้ำมันไฮดรอลิก ที่อยู่ภายในนั้นเกิดฟองอากาศ และแตกขึ้นมา แล้วล่ะก็ โช๊คอัพจะไม่สามารถ ทำงานได้ชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์นั้นสูญเสียการควบคุมและเกิดอุบัติเหตุได้

  1. โช๊คอัพระบบแก๊ส

เป็นโช๊คอัพระบบแก๊ส โดยใช้แก๊สไนโตรเจนทำงานร่วมกับน้ำมันไฮดรอลิค เมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะเคลื่อนตัวลงมาสู่ด้านล่างของกระบอกสูบทำให้น้ำมันไฮดรอลิดถูกสูบเข้าในส่วนบนและส่วนล่างของลูกสูบ หลังจากนั้นจึงอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเภท

  • Low-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันต่ำ โดยทีโช๊คอัพแบบนี้จะมีส่วนที่สำหรับน้ำมันไฮดรอลิคสำรองเอาไว้ โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ ประมาณ 10 – 15 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 142-213 ปอนด์/ตารางนิ้ว

  • Hi-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันสูง ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรกเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือโช๊คอัพแบบนี้นั้น จะไม่มีส่วนเป็นน้ำมันไฮดรอลิคสำรอง โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 284 – 427 ปอนด์/ตารางนิ้ว

วิธีดูแลรักษาโช๊คอัพควรทำอย่างไรบ้าง

อุปกรณ์และอะไหล่ทุกอย่างภายในรถยนต์นั้น ย่อมมีอายุการใช้งานที่ถูกจำกัดเอาไว้ โช๊คอัพก็เช่นเดียวกัน ซึ่งโช๊คอัพนั้นมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่การบำรุงดูแลรักษา รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนด้วย ซึ่งเดี๋ยวมาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้โช๊คอัพนั้นอยู่กับรถเราไปได้นาน ๆ

1. ตรวจสอบโช๊คอัพอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจเช็คนั้นเป็นสิ่งเบื้องต้นที่ควรทำในทุก ๆ ที่ขับขี่ไปที่ไหนก็ตามเป็นระยะทางไกล ๆ หรือเป็นไปได้ควรตรวจเช็คอย่างเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโช๊คอัพในรถยนต์ของเรานั้นยังไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งจะทราบได้อย่างไรว่าโช๊คอัพของเรานั้นควรเปลี่ยนได้แล้ว มีวิธีสังเกตุและตรวจสอบได้ ดังนี้

  • ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ด้านหน้า-หลังของตัวรถ

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นวิธีที่เรียกได้ว่า รู้ได้แทบจะทันทีว่าโช๊คอัพของคุณกำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ โดยให้ทิ้งน้ำหนักตัวและกดแล้วปล่อยที่บริเวณด้านหน้า-หลังของรถ หากรถนั้นมีอาการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าโช๊คอัพของคุณนั้นมีปัญหา หรือที่เรียกกันว่า “โช๊คตาย” ให้รีบเปลี่ยนทันที

  • ตรวจดูบริเวณโช๊คอัพ

ให้ลองก้มตัวลงไปดูที่บริเวณของกระบอกของโช๊คอัพดูว่า พบรอยแตก รอยร้าว หรือมีการรั่วของน้ำมันไฮดรอลิคหรือไม่ หากมีปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพ โดยที่ตัวซีลกระบอกสูบอาจจะรั่ว ส่งผลให้โช๊คอัพนั้นทำงานผิดปกติได้

  • สังเกตุเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กม./ชั่วโมง

เมื่อขับรถที่ความเร็วสูงขึ้นมาและขับไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง จะสังเกตุได้เลยว่า ถ้ารถนั้นมีอาการส่าย ๆ สั่น ๆ รู้สึกเหมือนรถไม่ค่ายเกาะถนนเท่าไหร่นักเมื่อต้องขับปะทะกับลม นั่นแสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลงแล้ว ให้ทำการเปลี่ยน

  • สังเกตุเมื่อขับผ่านถนนขรุขระ

วิธีนี้จะคล้าย ๆ กับวิธีแรกเลย คือการสังเกตุอาการ เด้งของรถยนต์ที่ มีมากเกินจนผิดปกติ ถ้าหากขับผ่านถนนขรุขระแบบที่ชะลอรถแล้วยังมีอาการเด้งอยู่ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลง

  • สังเกตุที่ดอกของยางรถยนต์

การสังเกตได้ง่าย ที่สุดเลยเมื่อ ขับเสร็จแล้ว ให้ลงมาตรวจ สอบที่บริเวณ ยางรถยนต์ หากลูบแล้ว พบว่ายาง นั้นสึกหรอ เป็นบั้ง ๆ นั่นแสดง ว่ารถยนต์นั้นไม่มีโช๊คอัพ มาช่วยรองรับ น้ำหนักนั่นเอง

  • ดูความร้อนของตัวโช๊คอัพ

โดยปกติแล้วโช๊คอัพ นั้นเมื่อทำงานอยู่ จะมีความร้อน จากการทำงาน แต่หากลอง นำมือไปอัง ๆ หรือสัมผัสดูแล้วพบว่า โช๊คอัพ ไม่ร้อนเอาเสียเลย นั่นแสดงว่า โช๊คอัพนั้น ไม่ได้มีการทำงาน เป็นอาการบ่งบอก ว่าโช๊คอัพเสียได้ อย่างดีเยี่ยม

2. ชะลอรถยนต์ทุกครั้งเมื่อขับผ่านเส้นทางที่ถนนขรุขระ

อย่างที่ได้บอก ไปข้างต้นว่า โช๊คอัพนั้นช่วย ในเรื่องของลด แรงกระแทกต่าง ๆ จากพื้นถนน แต่ก็ใช่ว่าคุณ จะสามารถขับรถยนต์ อย่างไรก็ได้ การขับผ่านเส้นทางที่ ขรุขระนั้นควรที่ จะชะลอรถแล้วค่อย ๆ ขับผ่านไป จะเป็นการถนอมโช๊คอัพ ไม่ให้ทำงานหนัก และรับกระแทก มากเกินไป ช่วยยืด อายุการใช้งานได้ นานยิ่งขึ้น

3. ไม่บรรทุกของหนักจนเกินไป

การบรรทุกของ หนักเกินกว่าที่ สเปคของรถยนต์ รุ่นนั้น ๆ ส่งผลอย่างมาก ที่ทำให้โช๊คอัพ นั้นต้องทำงานหนัก เกินกว่าความสามารถ ที่ทำได้ ยิ่งถ้าใช้รถยนต์ บรรทุกเป็นระยะ เวลานาน ยิ่งทำให้ โช๊คอัพนั้น เสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว มากยิ่งขึ้น

 

กลับสู่หน้าหลัก – savecyber