โช๊ค Profender
26มี.ค.

โช๊ค Profender

โช๊ค Profender – Profender เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิตโช้คอัพคุณภาพดี สำหรับรถจักรยานยนต์ รถยนต์ทั่วไป หรือแม้แต่โช้คอัพที่ออกแบบมาพิเศษ สำหรับรถกระบะ, รถ SUV, รถแข่ง, รถออฟโรด เป็นต้น ตัวบริษัทมีทีมวิจัยและทีมวิศวกรของตนเอง ทำให้สามารถออกแบบได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ มีการคิดค้นและพัฒนา เฟ้นหานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อออกมาสู่ผู้บริโภคอยู่เสมอ

ประวัติ โช๊ค Profender

  • กิจการ Profender เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2550 เกิดขึ้นจากการที่คุณธงชัยและคุณทาริกา เอี่ยมวัฒนศิลป์ ได้มีการแยกตัวออกมาจากธุรกิจของทางบ้าน เพื่อมาก่อตั้งเป็นบริษัท โพรเฟนเดอร์ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเน้นการผลิตโช้คอัพเกรด กลุ่มพรีเมียม
  • ในปี พ.ศ. 2557 ได้มีการย้ายโรงงานมาอยู่ที่ อำเภอหอมเกร็ด บนเนื้อที่ 10.5 ไร่ เพื่อจะได้สามารถขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น ซึ่งที่นี่สามารถรองรับการผลิตได้ 500,000 ตัวต่อปี
  • ปี พ.ศ. 2558 บริษัทได้รับอนุมัติโครงการจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือที่เรียกว่า BOI ในการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
  • ปี พ.ศ. 2561 ได้มีการขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 10 ไร่ เพื่อสร้างโรงงานเพิ่มเติม สำหรับการรองรับการเจริญเติบโตจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยโรงงานใหม่นี้สามารถรองรับการผลิตได้ 1.5 ล้านตัวต่อปี
  • และในปี พ.ศ. 2564 บริษัทก็กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติม บนเนื้อที่อีก 15 ไร่ เพื่อรองรับการผลิตจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ประเภทของโช๊คอัพ

อะไหล่ต่าง ๆ ภายในรถยนต์นั้น ได้มีการพัฒนา มาโดยตลอด ซึ่งโช๊คอัพ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมา อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ที่ดีและเข้ากับ รถยนต์แต่ละ ประเภท โดยโช๊คอัพ นั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. โช๊คอัพระบบน้ำมัน

เป็นโช๊คอัพที่ทำงาน ด้วยระบบไฮดรอลิค ในขณะที่โช๊คอัพ แบบนี้กำลัง ทำงานนั้น น้ำมันไฮดรอลิค จะถูกนำเข้ามา ผ่านวาล์วลูกสูบ ซึ่งเป็นเพียงการทำให้โช๊คอัพ นั้นหนืดเพียงอย่าง เดียวเท่านั้น โดยข้อเสีย อย่างใหญ่หลวง ของโช๊คอัพแบบ ระบบน้ำมันนั่นคือ เมื่อน้ำมันไฮดรอลิก ที่อยู่ภายในนั้นเกิดฟองอากาศ และแตกขึ้นมา แล้วล่ะก็ โช๊คอัพจะไม่สามารถ ทำงานได้ชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์นั้นสูญเสียการควบคุมและเกิดอุบัติเหตุได้

  1. โช๊คอัพระบบแก๊ส

เป็นโช๊คอัพระบบแก๊ส โดยใช้แก๊สไนโตรเจนทำงานร่วมกับน้ำมันไฮดรอลิค เมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะเคลื่อนตัวลงมาสู่ด้านล่างของกระบอกสูบทำให้น้ำมันไฮดรอลิดถูกสูบเข้าในส่วนบนและส่วนล่างของลูกสูบ หลังจากนั้นจึงอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเภท

  • Low-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันต่ำ โดยทีโช๊คอัพแบบนี้จะมีส่วนที่สำหรับน้ำมันไฮดรอลิคสำรองเอาไว้ โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ ประมาณ 10 – 15 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 142-213 ปอนด์/ตารางนิ้ว

  • Hi-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันสูง ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรกเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือโช๊คอัพแบบนี้นั้น จะไม่มีส่วนเป็นน้ำมันไฮดรอลิคสำรอง โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 284 – 427 ปอนด์/ตารางนิ้ว

วิธีดูแลรักษาโช๊คอัพควรทำอย่างไรบ้าง

อุปกรณ์และอะไหล่ทุกอย่างภายในรถยนต์นั้น ย่อมมีอายุการใช้งานที่ถูกจำกัดเอาไว้ โช๊คอัพก็เช่นเดียวกัน ซึ่งโช๊คอัพนั้นมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่การบำรุงดูแลรักษา รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนด้วย ซึ่งเดี๋ยวมาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้โช๊คอัพนั้นอยู่กับรถเราไปได้นาน ๆ

1. ตรวจสอบโช๊คอัพอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจเช็คนั้นเป็นสิ่งเบื้องต้นที่ควรทำในทุก ๆ ที่ขับขี่ไปที่ไหนก็ตามเป็นระยะทางไกล ๆ หรือเป็นไปได้ควรตรวจเช็คอย่างเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโช๊คอัพในรถยนต์ของเรานั้นยังไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งจะทราบได้อย่างไรว่าโช๊คอัพของเรานั้นควรเปลี่ยนได้แล้ว มีวิธีสังเกตุและตรวจสอบได้ ดังนี้

  • ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ด้านหน้า-หลังของตัวรถ

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นวิธีที่เรียกได้ว่า รู้ได้แทบจะทันทีว่าโช๊คอัพของคุณกำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ โดยให้ทิ้งน้ำหนักตัวและกดแล้วปล่อยที่บริเวณด้านหน้า-หลังของรถ หากรถนั้นมีอาการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าโช๊คอัพของคุณนั้นมีปัญหา หรือที่เรียกกันว่า “โช๊คตาย” ให้รีบเปลี่ยนทันที

  • ตรวจดูบริเวณโช๊คอัพ

ให้ลองก้มตัวลงไปดูที่บริเวณของกระบอกของโช๊คอัพดูว่า พบรอยแตก รอยร้าว หรือมีการรั่วของน้ำมันไฮดรอลิคหรือไม่ หากมีปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพ โดยที่ตัวซีลกระบอกสูบอาจจะรั่ว ส่งผลให้โช๊คอัพนั้นทำงานผิดปกติได้

  • สังเกตุเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กม./ชั่วโมง

เมื่อขับรถที่ความเร็วสูงขึ้นมาและขับไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง จะสังเกตุได้เลยว่า ถ้ารถนั้นมีอาการส่าย ๆ สั่น ๆ รู้สึกเหมือนรถไม่ค่ายเกาะถนนเท่าไหร่นักเมื่อต้องขับปะทะกับลม นั่นแสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลงแล้ว ให้ทำการเปลี่ยน

  • สังเกตุเมื่อขับผ่านถนนขรุขระ

วิธีนี้จะคล้าย ๆ กับวิธีแรกเลย คือการสังเกตุอาการ เด้งของรถยนต์ที่ มีมากเกินจนผิดปกติ ถ้าหากขับผ่านถนนขรุขระแบบที่ชะลอรถแล้วยังมีอาการเด้งอยู่ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลง

  • สังเกตุที่ดอกของยางรถยนต์

การสังเกตได้ง่าย ที่สุดเลยเมื่อ ขับเสร็จแล้ว ให้ลงมาตรวจ สอบที่บริเวณ ยางรถยนต์ หากลูบแล้ว พบว่ายาง นั้นสึกหรอ เป็นบั้ง ๆ นั่นแสดง ว่ารถยนต์นั้นไม่มีโช๊คอัพ มาช่วยรองรับ น้ำหนักนั่นเอง

  • ดูความร้อนของตัวโช๊คอัพ

โดยปกติแล้วโช๊คอัพ นั้นเมื่อทำงานอยู่ จะมีความร้อน จากการทำงาน แต่หากลอง นำมือไปอัง ๆ หรือสัมผัสดูแล้วพบว่า โช๊คอัพ ไม่ร้อนเอาเสียเลย นั่นแสดงว่า โช๊คอัพนั้น ไม่ได้มีการทำงาน เป็นอาการบ่งบอก ว่าโช๊คอัพเสียได้ อย่างดีเยี่ยม

2. ชะลอรถยนต์ทุกครั้งเมื่อขับผ่านเส้นทางที่ถนนขรุขระ

อย่างที่ได้บอก ไปข้างต้นว่า โช๊คอัพนั้นช่วย ในเรื่องของลด แรงกระแทกต่าง ๆ จากพื้นถนน แต่ก็ใช่ว่าคุณ จะสามารถขับรถยนต์ อย่างไรก็ได้ การขับผ่านเส้นทางที่ ขรุขระนั้นควรที่ จะชะลอรถแล้วค่อย ๆ ขับผ่านไป จะเป็นการถนอมโช๊คอัพ ไม่ให้ทำงานหนัก และรับกระแทก มากเกินไป ช่วยยืด อายุการใช้งานได้ นานยิ่งขึ้น

3. ไม่บรรทุกของหนักจนเกินไป

การบรรทุกของ หนักเกินกว่าที่ สเปคของรถยนต์ รุ่นนั้น ๆ ส่งผลอย่างมาก ที่ทำให้โช๊คอัพ นั้นต้องทำงานหนัก เกินกว่าความสามารถ ที่ทำได้ ยิ่งถ้าใช้รถยนต์ บรรทุกเป็นระยะ เวลานาน ยิ่งทำให้ โช๊คอัพนั้น เสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว มากยิ่งขึ้น

 

กลับสู่หน้าหลัก – savecyber